แนวทาง การเกษตรแบบ Biodynamic กับการปลูกกาแฟ

เนื่องด้วยผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทั่วโลก ที่ส่งผลต่อผู้ปลูกกาแฟมากขึ้นในปัจจุบัน มีการประมาณการณ์กันว่า ภายในปี 2050 พื้นที่สำหรับทำเกษตรกรรมที่เหมาะสมต่อการปลูกกาแฟอาจสูญเสียไปมากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ 

ดังนั้นเพื่อให้อุตสาหกรรมกาแฟในส่วนนี้อยู่รอด เกษตรกรจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้นำระบบการปลูกและการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นมาใช้ เป้าหมายก็เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน และลดอัตราการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในไร่กาแฟ 

ระบบหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมกาแฟในส่วนนี้คือ การ เกษตรแบบ Biodynamic หรือการทำการเกษตรแบบชีวพลวัตรซึ่งกำลังเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ในภาคกาแฟนี้ การทำ การเกษตรแบบ Biodynamic มีลักษณะเฉพาะตัว ด้วยวิธีการแบบองค์รวม ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลระหว่างความยั่งยืน สุขภาพ และคุณภาพของต้นกาแฟ 

วันนี้เราจะมาทำความรู้จักคำคำนี้ให้มากขึ้น คำว่าเกษตรแบบ Biodynamic เพื่อที่จะได้เรียนรู้ และทำให้อุตสาหกรรมกาแฟโดยรวมสามารถที่จะอยู่รอดและไปต่อได้ ในสภาวะของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลกนี้ และนี่อาจเป็นหนึ่งในทางออกของปัญหาวิกฤตกาแฟที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตก็เป็นได้ 

Coffee Cherry

การเกษตรแบบ Biodynamic คืออะไร 

การเกษตรแบบ Biodynamic กล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือ การทำการเกษตรโดยเน้นไปที่การเชื่อมโยงของไร่กับธรรมชาติให้มากที่สุด โดยแนวทางนี้จะมีความคล้ายกับการทำเกษตรอินทรีย์ การเกษตรแบบ Biodynamic นี้เกิดขึ้นจากนักปรัชญาชาวออสเตรเลีย Rudolf Steiner ซึ่งได้ทำการเชื่อมโยงศาสตร์แห่งการทำไร่ เข้ากับวิถีแห่งจิตวิญญาณและธรรมชาติ จุดซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการทำการเกษตรแบบนี้จะมีปรัชญาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คือการนำธรรมชาติเข้ามาสู่วิถีชีวิตของมนุษย์ให้มากยิ่งขึ้น โดยหลักการที่สำคัญที่นักปรัชญาคนนี้ได้กล่าวไว้คือ ควรจะเป็นการให้กลับมากกว่าที่ได้รับ 

ด้วยเหตุนี้เอง Rudolf Steiner จึงได้พัฒนา และได้ทดลองวิธีการทางชีวภาพที่แตกต่างกันมากมายหลากหลายแบบ สำหรับการให้ปุ๋ยพืชผล มีการใช้ปุ๋ยหมักในการปรับปรุงพืชผลในช่วงภาวะเจริญพันธุ์ เขายังได้อ้างถึงการถ่ายเทพลังงานซึ่งอยู่เหนือธรรมชาติบางอย่างไปยังดินด้วย 

เนื่องจากการกล่าวอ้างเช่นนี้ เขาได้นิยามคำว่าการทำการเกษตรแบบ Biodynamic ให้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติแบบนี้ ดังนั้นจึงเกิดผู้ไม่เห็นด้วย และผู้ที่คัดค้านจำนวนมาก ในช่วงหลาย มีการวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย ว่าวิธีการนี้ไม่ได้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับอย่างแท้จริง 

แต่อย่างไรก็ตาม ก็ได้เกิดการพัฒนาขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ปัจจุบันได้มีหลายหลายไร่ที่ใช้วิธีการทำการเกษตรแบบนี้ และยังมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นที่ยอมรับ ทั้งในเกษตรกรไร่กาแฟด้วยกันเอง และการยอมรับจากหลักปฐพีวิทยาด้วย 

ถึงจะมีความคล้ายกันมาก ๆ กับการทำเกษตรอินทรีย์ แต่แนวทางการทำเกษตรแบบ Biodynamic โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลายพื้นที่ทั่วโลก ยังมีความแตกต่างกับเกษตรอินทรีย์อยู่มาก การเกษตรแบบ Biodynamic นี้จะมองเกษตรอินทรีย์ในมุมมองที่กว้างกว่า สิ่งนี้คือการนำนำหลักการทางชีวภูมิศาสตร์มาใช้ กล่าวถึงระบบการเกษตร ว่าพืชก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์รูปแบบหนึ่ง ซึ่งสิ่งมีชีวิตนี้มีสาระสำคัญ ร่างกาย และชีวิตเป็นของตัวเอง หลายคนไม่ได้มองพืชเป็นพืช แต่กลับมองพืชเป็นเหมือนสัตว์ชนิดหนึ่ง

บางคนถึงกับสังเกตระบบจังหวะของจักรวาล ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวต่าง ๆ ซึ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อปริมาณแสงที่จะส่งมาถึงพืช ดวงจันทร์มีผลต่อระดับน้ำขึ้นน้ำลง ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการทำเกษตรด้วยการทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้จึงเกิด “ปฏิทินชีวภาพ” หรือ “biodynamic calendar” ขึ้น โดย Maria Thun ในปี 1962 ปฏิทินนี้ใช้ในการกำหนดเวลาที่เหมาะสมในการทำการเกษตร เช่นการตัดแต่งกิ่ง การหว่านเมล็ด และการเก็บเกี่ยว ซึ่งอาจดึงข้อมูลทางดาราศาสตร์มาร่วมด้วย 

Biodynamic กับการปลูกกาแฟ 

หากเราจะกล่าวถึงเรื่องของ Biodynamic กับการปลูกกาแฟนั้น จะขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพ โดยจะยกไร่กาแฟไร่หนึ่งใน Espírito Santo ประเทศบราซิล ที่มีชื่อว่า Fazenda Camocim โดยเกษตรกรชาวบราซิลผู้เป็นผู้ปลูกกาแฟ Henrique Leivas Sloper ว่าด้วยเรื่องของประโยชน์ของการปลูกกาแฟแบบ Biodynamic กับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม 

อย่างที่เรารู้ว่า หลักการของ Biodynamic คือการทำการเกษตรแบบองค์รวม เขากล่าวว่า ที่ไร่ Fazenda Camocim ได้ให้ความเคารพและความสำคัญในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ที่อยู่ภายในไร่ พืช และดินที่อยู่บริเวณนั้น ทั้งหมดล้วนมีประโยชน์ร่วมกัน โดยเขาเห็นว่า หลักการแบบ Biodynamic เห็นคุณค่าของทุกสิ่งที่อยู่ในไร่ แม้แต่แมลงศัตรูพืชเองก็ตาม 

อีกทั้งยังบอกอีกว่า ระบบแบบองค์รวมนี้สามารถที่จะให้ผลผลิต ซึ่งก็คือผลเชอรี่กาแฟที่อุดมไปด้วยจุลินทรีย์มากขึ้น พืชสามารถที่จะทนทานต่อแมลงศัตรูพืชได้มากขึ้น และเมื่อรวมกับแนวทางปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ จะทำให้ไร่กาแฟเติบโต และมีความแตกต่างจากไร่กาแฟแบบดั้งเดิมมาก 

Henrique Leivas Sloper ได้ทำการเปรียบเทียบต้นกาแฟที่ปลูกโดยใช้ระบบการเกษตรแบบ Biodynamic กับต้นกาแฟทั่วไป เขาได้สังเกตเห็นถึงความแตกต่างทั้งในรากและใบ รวมถึงระดับความสม่ำเสมอของผลผลิต และการกักเก็บน้ำตาลที่สูงขึ้นในผลเชอรี่ 

Fazenda Camocim

ที่ไร่กาแฟ Fazenda Camocim แห่งนี้ ยังได้ทำการทดสอบโดยการปลูกกาแฟมากถึง 14 พันธุ์ และได้มีการสำรวจในเรื่องของความต้านทานต่อศัตรูพืชและโรคต่าง ๆ ทั้งหมดเป็นเหมือนกันกระจายความเสี่ยง เพื่อลดความเสี่ยงต่อผลผลิตที่จะได้น้อยหากเลือกปลูกกาแฟแค่ไม่กี่พัน 

อีกทั้งหากทำการเพาะเลี้ยงกาแฟแค่พันธุ์เดียว ในบางครั้งผลผลิตที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า  ฃgenetic erosion (ความเสียหายทางพันธุกรรมพืช) จะทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพของพันธุ์กาแฟเหล่านี้หายไป ซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพนี้เป็นสิ่งสำคัญ 

ด้วยเหตุนี้ ทำให้ไร่กาแฟแห่งนี้มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง มีไม้ให้ร่มเงามากกว่า 150 ต้นต่อเฮกตาร์ และโดยรวมมีพืชอยู่ที่ประมาณ 2,500-3,500 ต้นต่อเฮกตาร์ ซึ่งนับว่ามีความหลากหลายสูงมาก ไม่ใช่เพียงแค่ต้นกาแฟเท่านั้น ที่ไร่แห่งนี้ยังทำการปลูกกล้วย มะนาว ส้ม ฝรั่ง Cherimoya (น้อยหน่าออสเตรเลีย) และมะเขือเทศด้วย ด้วยความหลากหลายนี้เอง ทำให้การทำการเกษตรที่นี่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะยาว 

การนำการเกษตรแบบ Biodynamic ใช้ในการปลูกกาแฟ ให้ผลลัพธ์ที่ต่างไปอย่างไร 

เรารู้ว่าหลักการ Biodynamic นอกจากจะเห็นคุณค่าของทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในไร่แล้ว ยังได้นำเอาเทคนิค และหลักการทางการเกษตรที่มีคุณภาพสูงมาใช้งาน การดูแลพืชก็อยู่ในระดับที่ดีเยี่ยม แต่ผลผลิตที่ได้ (หรือในที่นี้คือกาแฟ) จะมีคุณภาพแตกต่างจากการปลูกหรือการทำการเกษตรแบบทั่วไปหรือไม่อย่างไร 

จากกรณีศึกษาที่ Fazenda Camocim พบว่า กาแฟสามารถที่จะให้รสชาติและกลิ่นหอมมากขึ้น และยังทำให้ผลกาแฟเสียหายหรือเน่าน้อยลง การทำการเกษตรแบบนี้ยังไม่ได้ส่งผลดีเพียงแค่คุณภาพของกาแฟเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงต้นกาแฟหลังจากระยะการเก็บเกี่ยวด้วย ดังนั้นจึงสามารถที่จะกล่าวได้ว่า หลักการเกษตรแบบ Biodynamic สามารถที่จะช่วยในการปรับปรุงคุณภาพของต้นกาแฟได้ พร้อมยังเป็นการทำการเกษตรอย่างยั่งยืนด้วย 

การทำการเกษตรแบบ Biodynamic เรียกได้ว่าช่วงไม่กี่ปีมานี้กำลังเข้าสู่กระแสหลัก จากการที่ไร่กาแฟ Fazenda Camocim ได้รับรางวัล Cup of Excellence ครั้งแรกในปี 2017 ด้วยคะแนนการคัปปิ้งถึง 93.7 คะแนน 

แต่ถึงจะบอกว่าเป็นการทำการเกษตรที่ดี แต่คุณภาพของกาแฟก็ยังคงขึ้นกับปัจจัยอื่นที่สำคัญกว่า อย่างเรื่องของพันธุ์กาแฟ สภาพอากาศ คุณภาพดิน ความสูงของไร่กาแฟ และหลักการดูแลและปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว ตลอดจนปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย 

อย่างที่ไร่ Fazenda Camocim ไม่ใช่แค่การทำการเกษตรแบบ Biodynamic ที่ทำให้กาแฟมีคุณภาพ ในที่นั่นยังมีลักษณะทางภูมิศาสตร์ ซึ่งที่ไร่มีทั้งอุณหภูมิและระดับความสูงที่เหมาะสม โดยมีช่วงฤดูหนาวที่ค่อนข้างยาวนาน เพื่อทำให้ผลเชอรี่ได้มีเวลาสุกช้าลง และสามารถพัฒนารสชาติได้ เรียกได้ว่า ลักษณะทางภูมิศาสตร์เพื่อต่อการทำการเกษตรแบบนี้ด้วย 

อย่างที่บอกว่า การทำการเกษตรแบบไบโอไดนามิกกำลังจะกลายมาเป็นการทำการเกษตรกระแสหลัก เพราะในขณะนี้ มีไร่กาแฟที่ทำการเกษตรแบบ Biodynamic อยู่ที่ประมาณ 200ไร่ในโลก และคาดว่าจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ตัวเลขประมาณการอยู่ที่ 13-15 เปอร์เซ็นต์ต่อปี 

Biodynamic กับการเพิ่มคุณค่าให้กับกาแฟด้วยเรื่องเล่า 

เนื่องจากในปัจจุบัน ผู้บริโภคได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับกรรมวิธีในการผลิต และเรื่องราวความเป็นมาของสิ่งของอุปโภคบริโภคมากขึ้น จึงเป็นเรื่องง่ายที่การเกษตรแบบ Biodynamic สามารถนำมาผูกกับเรื่องเล่าหรือเรื่องราวเหล่านี้ได้ เพื่อเป็นการเสริมให้แบรนด์แต่ละแบรนด์ดูน่าสนใจมากขึ้น 

ตัวอย่างกรณีปรึกษา กาแฟ jacu coffee หรือกาแฟจากนก jacu โดยไร่กาแฟ Fazenda Camocim เป็นหนึ่งในไร่ที่ผลิตกาแฟ jacu coffee ซึ่งเป็นกาแฟที่ทำราคาได้ค่อนข้างสูง เรียกได้ว่าเป็นกาแฟพรีเมี่ยม และการที่สามารถเรียกราคาได้สูง และกลายมาเป็นกาแฟพรีเมียมนั้นมีเรื่องเล่าเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อน ว่ากาแฟ jacu coffee สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า หรือกาแฟของตนเองได้อย่างไร 

jacu bird

กาแฟ jacu coffee มาจากชื่อนก Jacu นกที่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองของประเทศบราซิล ซึ่งจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าดิบชื้น นก Jacu มีทำหน้าที่อยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือ นกชนิดนี้จะกินผลเชอรี่เข้าไป แล้วทำการแปรรูปกาแฟบางอย่างภายในระบบย่อยอาหารของมัน แล้วสุดท้ายก็ขับถ่ายมาเป็นกาแฟ 

หากกล่าวถึงกาแฟจากนก Jacu เราอาจจะไม่คุ้นเคยกันนัก แต่สิ่งนี้ดูคล้ายกับกาแฟขี้ชะมด ที่คนไทยเราน่าจะคุ้นเคยกันอยู่ ซึ่งเป็นกาแฟชื่อดังของประเทศอินโดนีเซีย ในบ้านเรารู้จักกาแฟชนิดนี้มาหลายสิบปีแล้ว กาแฟจากนก Jacu ก็เป็นในรูปแบบเดียวกันนี้ด้วย 

อีกหน้าที่ของ Jacu โดยปกติแล้วนกชนิดนี้จะกินผลเชอรี่ที่สุกแล้วเท่านั้น ดังนั้นการที่นกชนิดนี้กินผลเชอรี่ จึงเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า สามารถที่จะเก็บเกี่ยวผลเชอรี่ในช่วงนั้นได้แล้ว 

นอกจากคุณประโยชน์ในแง่ของการเกษตรแล้ว นกชนิดนี้ยังมีคุณค่าในแง่ของการตลาดด้วย สิ่งนี้สามารถถูกสื่อสารออกมาเป็นเรื่องเล่าได้ การสื่อสารและบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้แก่ผู้บริโภค เป็นการช่วยสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการเกษตรแบบ Biodynamic อีกทั้งยังเป็นการทำหน้าที่ทางการตลาดของกาแฟแบรนด์นี้อีกด้วย เหมือนที่มันเกิดขึ้นกับกาแฟขี้ชะมด 

ปลูกกาแฟแบบ Biodynamic ในขั้นเริ่มต้น 

หากไร่กาแฟที่ใช้แนวทางการปลูกแบบเดิม ต้องการจะเปลี่ยนมาใช้แนวทางการปลูกกาแฟแบบ Biodynamic สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรกคือ การวิเคราะห์และพิจารณาสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้วในไร่กาแฟ ทางที่ดีที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย อาจจะทำไร่แบบผสมผสาน และใช้แนวทางการปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ไปก่อน จากนั้นค่อยปรับเปลี่ยนเป็นแบบ Biodynamic การทำแบบนี้ทำให้ไร่กาแฟมีเวลาจัดการระเบียบ และทำความเข้าใจ แนวทางทางการเกษตรได้ทีละน้อย เพื่อจะสร้างจังหวะในการทำงาน ที่ท้ายที่สุดแล้ว จะนำหลักแบบ Biodynamic มาใช้งานได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพมากที่สุด และอย่างมีระเบียบด้วย 

และถึงแม้ว่าหลายไร่จะสามารถนำหลักการเกษตรแบบ Biodynamic ไปใช้ในไร่ได้แล้ว โดยหลักการสามารถที่จะทำได้ และทำได้ดีแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็มีใบรับรองอย่างเป็นทางการสำหรับการเกษตรแบบ Biodynamic มีหน่วยงานที่กำกับดูแลซึ่งมีความสากล หน่วยงานนั้นมีชื่อว่า Demeter ด้วย โดยใบรับรองจาก Demeter นับว่าเป็นใบรับรองไม่กี่ฉบับที่ได้การยอมรับจากทั่วโลก 

เกณฑ์การตัดสินในการรับรอง จำเป็นที่จะต้องจัดสรรที่ดินอย่างน้อย 30-40 เปอร์เซ็นต์เพื่อการอนุรักษ์ ซึ่งพื้นที่ส่วนนี้จะกลายเป็น “แหล่งสำรองความหลากหลายทางชีวภาพ” และนอกเหนือจากการมีความรู้ในด้านเกษตรแบบ Biodynamic แล้ว หลายที่ยังมีนักปฐพีวิทยาซึ่งดูแลกระบวนการทำการเกษตรแบบนี้ในแต่ละไร่กาแฟด้วย คนกลุ่มนี้จะมีเทคนิคและมุมมองทางด้าน Biodynamic ซึ่งเทคนิคและมุมมองเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกษตรกรและไร่กาแฟไม่สามารถมีได้ 

สิ่งสำคัญที่ต้องรู้คือ การเกษตรแบบ Biodynamic เป็นเทคนิคทางการเกษตรอย่างหนึ่ง ที่มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับดินที่ปลูกกาแฟ ดังนั้นจึงยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวแบบดั้งเดิมในการจัดการ จัดเก็บ และกระบวนการอื่น ๆ ของกาแฟด้วย 

การมีความรู้ที่ดี ก็จะช่วยให้ไร่กาแฟแต่ละไร่สามารถที่จะทำการเกษตรแบบนี้ได้ แต่ก็ต้องยอมรับ ว่าหากจะทำการเกษตรแบบ Biodynamic นี้ได้ ก็จำเป็นต้องมีทุนทรัพย์ในระดับหนึ่ง ไม่เพียงแค่นั้น ยังจำเป็นต้องมีพื้นที่ที่ค่อนข้างมีความอุดมสมบูรณ์ด้วย เพราะหากไม่มีทุนทรัพย์มากนัก หรือความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ำ อาจจะทำได้จริง แต่อาจจะประสบปัญหาภายหลัง 

แม้ว่าการนำหลักการเกษตรแบบ Biodynamic มาใช้ในการปลูกกาแฟ จะไม่ใช่วิธีในการแก้ปัญหาทั้งหมดที่เกษตรกรต้องเผชิญ แต่ระบบนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการทำการเกษตรแบบองค์รวม เพื่อให้สามารถผลิตกาแฟที่มีคุณภาพได้ การมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มคุณค่าและคุณภาพของดิน และการปรับปรุงพื้นที่ทางการเกษตรนี้จะเป็นผลดีต่อธรรมชาติและระบบไร่ในระยะยาว 

ถึงแม้ว่าแนวคิดการเกษตรแบบ Biodynamic จะเป็นแนวคิดที่ค่อนข้างแปลกใหม่ที่จะนำมาใช้ในภาคของอุตสาหกรรมกาแฟ แต่หลายไร่ทั่วโลกก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แนวทางนี้ก็ยังคงมีข้อดีที่เกษตรกรสามารถนำมาใช้ได้ และสามารถทำให้เกิดขึ้นได้จริง อย่างน้อยก็ในหลายพื้นที่ในโลกที่ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว