เคล็ดลับการ ชงกาแฟ ให้อร่อยมากยิ่งขึ้น แบบฉบับคอฟฟี่เลิฟเวอร์

หลายคนที่มีโอกาสเข้ามาอ่านบทความนี้ น่าจะเป็นคนที่มีความสุขกับการดื่มกาแฟ และกการ ชงกาแฟ การได้ดื่มด่ำบรรยากาศในขณะดื่มกาแฟ หรืออาจจะดื่มกาแฟในขณะที่นั่งทำงานไปด้วย นี่ก็เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมไม่น้อย ซึ่งใครหลายคนในนี้ก็มักที่จะชงกาแฟดื่มเอง และแน่นอนว่าทุกครั้งที่ชงกาแฟดื่ม เราก็จะค่อย ๆ ทำความรู้จัก และเรียนรู้เครื่องดื่มของเราไปทีละเล็กน้อย เราอยากที่จะสกัดกาแฟออกมา เป็นไปได้อย่างที่มันควรจะเป็นมากที่สุด มีรสชาติที่ดียิ่งขึ้น ถูกปากเรามากขึ้น กาแฟมีกลิ่นหอมมากขึ้น

การที่เราจะทำแบบนั้นได้ อันที่จริงแล้วมันไม่ได้เป็นอะไรที่ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจมากนัก เรื่องของการสกัดกาแฟแท้จริงก็มีไม่กี่เรื่องที่เราจะต้องมาคุยกัน เพื่อทำให้เครื่องดื่มของเราอร่อยมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนมีหลายเรื่องที่เราจะต้องคำนึง แต่ในความเป็นจริงหากเราลองมาไล่เรียงเป็นข้อ ๆ มันก็ไม่ได้มากมายอย่างที่เราคิดไว้เลย ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของเบอร์บด ระยะเวลาที่เราใช้ อุณหภูมิของน้ำที่เราใช้เป็นต้น ซึ่งอย่างที่เรารู้ว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อรสชาติของเครื่องดื่มอย่างแน่นอน จะมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำความเข้าใจ

และวันนี้เราจะชวนคุณมาสำรวจ เกี่ยวกับวิธีการในการชงกาแฟดื่มเองที่บ้าน ว่าเราจะทำอย่างไรเพื่อให้รสชาติของเครื่องดื่มของเราอร่อย และยอดเยี่ยมมากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ และเมื่อเราทำแบบนั้นได้แล้ว รสชาติกาแฟของเราสามารถทำให้คงที่ได้แล้ว เราก็จะสามารถปรับปรุง ทดลอง และปรับเปลี่ยนสูตรของเราได้ตามใจ เพื่อให้การดื่มกาแฟของเราสนุกมากขึ้น

Coffee Beans Roasted Profile

กฎเหล็กที่จำเป็นต้องรู้

ในกระบวนการ ชงกาแฟ แท้จริงแล้วสิ่งนี้เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ล้วน ๆ ดังนั้นเมื่อเราเข้าใจหลักการที่มันถูกต้อง ทุกอย่างจะง่ายขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ ถึงแม้ว่าจะมีหลายปัจจัยมาก ที่อาจส่งผลต่อรสชาติและกลิ่นของเครื่องดื่มของเรา แต่สุดท้าย สิ่งที่เราจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจ นั่นคือคำว่า “กระบวนการสกัดกาแฟ”

โดยปกติที่เราสกัดกาแฟนั้น สารประกอบมากมายที่อยู่ในกาแฟ จะสามารถละลายน้ำได้ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ และในปริมาณ 30 เปอร์เซ็นต์นี้ เต็มไปด้วยสารประกอบที่ให้ทั้งกลิ่นและรสชาติในเครื่องดื่มของเรา ในกระบวนการสกัดกาแฟ เราต้องการลิ้มรสรสชาติเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน อันที่จริงมันมีหลักการอยู่เพียงเท่านี้

แต่การจะควบคุมให้ปริมาณของสารประกอบเหล่านี้ออกมามากน้อย เราจำเป็นที่จะต้องควบคุมการสกัด นั้นก็ย้อนกลับมาที่การควบคุมวิธีการชงกาแฟของเรา ซึ่งสารประกอบแต่ละตัวนั้น ก็จะถูกสกัดออกมาในเวลา อัตรา หรือจุดที่แตกต่างกันในกระบวนการทั้งหมด

โดยธรรมชาติในการสกัดกาแฟนั้น สารประกอบที่สกัดออกมาในส่วนแรก เป็นสารประกอบที่เกี่ยวข้องกับความเป็นกรด และรสชาติผลไม้ ต่อมาสิ่งที่ถูกสกัดออกมาคือรสหวาน และสุดท้ายคือรถคมและความฝาด ดังนั้นแล้ว หากกาแฟของเรามีรสเปรี้ยวจนเกินไป (ไม่ได้เกิดจากปัจจัยเกี่ยวกับการคั่ว และตัวเมล็ดกาแฟเอง) แสดงว่าอาจเป็นไปได้ที่เกิดการสกัดกาแฟออกมาน้อยจนเกินไป ในทางกลับกันหากเครื่องดื่มของเรามีรสขมเกินไป นั่นหมายความว่าเกิดการสกัดมากจนเกินไป รสชาติหวาน บาลานซ์ที่ดี และความซับซ้อนในรสชาติ เหล่านี้รวมกันแล้วมักทำให้เครื่องดื่มของเราอร่อย สิ่งนี้นับว่าเป็นความสมบูรณ์แบบในการสกัดกาแฟ และหากไม่นับรวมอย่างที่เราชอบ นี่เป็นกฎเหล็ก ที่เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจในการ ชงกาแฟ

ต่อมาเรามาดูกันว่า เราจะสามารถควบคุมกระบวนการสกัดให้ออกมามากน้อยตามที่เราต้องการได้อย่างไร ต่อไปนี้จะขอเริ่มต้นด้วยปัจจัยที่มีความสำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่ง นั่นคือเรื่องของเวลาที่ใช้ในการสกัด และขนาดของเบอร์บดที่ใช้ในการบดกาแฟ

เวลา

เวลาที่ใช้ในการสกัด หมายถึงระยะเวลาที่กาแฟบดของเราสัมผัสกับน้ำ ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย แต่ก็มีรายละเอียดที่ค่อนข้างซับซ้อนในระดับหนึ่งเลยทีเดียว

อันนี้เข้าใจค่อนข้างง่าย ยิ่งน้ำสัมผัสกับกาแฟนานเท่าไหร่ กระบวนการสกัดก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น (ในกรณีที่เราไม่ไปรบกวนตัวแปรอื่น) ฉะนั้นด้วยการสกัดแบบการแช่ เราจึงสามารถควบคุมปัจจัยนี้ได้ง่ายกว่าการชงกาแฟแบบการดริป ที่เราจะค่อย ๆ ปล่อยให้กาแฟหยด ผ่านฟิลเตอร์ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เป็นกระดาษกรอง

ดังนั้น หากเราต้องการให้กาแฟของเรามีรสชาติขมมากขึ้น และมีบอดี้ที่หนักมากขึ้น ให้เราใช้เวลาในการสกัดนานยิ่งขึ้น แต่หากอยากได้ความเป็นกรดที่มากขึ้น หรือรสชาติของผลไม้ที่มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ให้ใช้เวลาในการสกัดน้อยลง ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้รสชาติอื่น หรือสารประกอบอื่นที่จะออกมาหากใช้เวลานาน เข้ามากลบรสชาติที่อ่อนกว่าของความเป็นกรดและผลไม้ แต่ก็ต้องไม่ใช้เวลาสั้นจนเกินไป ไม่งั้นจะกลายเป็นว่าเราจะไม่ได้อะไรจากกาแฟเลย หรืออาจจะได้น้อยลงมาก

วิธีการในการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของการใช้เวลาในการสกัด อย่างที่บอกว่าง่ายที่สุดจะเป็นการชงกาแฟแบบที่เราต้องทำการแช่ แนะนำให้ใช้อุปกรณ์ชงกาแฟแบบแช่ เช่น Clever Dripper หรือ AeroPress และก็พยายามควบคุมปัจจัยเกี่ยวกับเบอร์บด อุณหภูมิน้ำ และกาแฟให้เท่ากัน และลองเปรียบเทียบความแตกต่างกัน ในการใช้เวลาที่แตกต่างกันดู

เบอร์บด

ต่อไปเป็นตัวแปรที่สอง ที่จะทำให้เครื่องดื่มของเรามีรสชาติที่แตกต่างกันออกไป คือเบอร์บดที่เราใช้ในการบดกาแฟนั่นเอง สิ่งนี้สำคัญอย่างไร ยิ่งเราบดกาแฟละเอียดมากเท่าไหร่ จะทำให้กาแฟของเราได้สัมผัสกับน้ำมากขึ้นเท่านั้น คือการเพิ่มพื้นผิวสัมผัสของกาแฟนั่นเอง ยิ่งเราบดกาแฟให้มีขนาดใหญ่ หรือบชยากมากเท่าไหร่ ก็จะมีช่องว่างระหว่างกาแฟกับน้ำมากขึ้นเท่านั้น น้ำก็จะไหลผ่านได้เร็วมากขึ้นด้วย ซึ่งนี่จะไปเป็นการลดเวลาในการสกัดกาแฟลงไปอีก

จุดที่เราจะต้องพิจารณาอีกจุดหนึ่งคือ หากสำหรับกาแฟฟิลเตอร์ แล้วอัตราการบดของเราละเอียดจนเกินไป ในระหว่างที่เกิดกระบวนการสกัดกาแฟ มันอาจสกัดออกมามากจนเกินเท่าที่เราต้องการได้ สิ่งสำคัญคือ เราจำเป็นที่จะต้องใช้เบอร์บดให้เหมาะสมกับวิธีการที่เราเลือกใช้ในการสกัดกาแฟ และให้เหมาะสมกับตัวกรองด้วย เครื่องบดที่ใช้ก็นับว่าสำคัญ หากเป็นเครื่องบดกาแฟแบบที่มีคุณภาพ มันจะสามารถบดกาแฟออกมาได้อย่างสม่ำเสมอ

กลับกันหากขนาดของกาแฟบดของเราไม่สม่ำเสมอกัน เล็กบ้างใหญ่บ้าง เราจะไม่สามารถควบคุมปัจจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เลย ไม่ว่าชงกาแฟออกมากี่แก้วก็จะทำรสชาติได้ไม่เหมือนเดิม ทำให้เราไม่รู้ว่าเราจะต้องแก้ไข หรือปรับปรุงในส่วนไหน ซึ่งสิ่งนี้ค่อนข้างอันตรายพอสมควร ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะสามารถควบคุมปัจจัยในส่วนนี้ได้ อยากให้ซื้อเครื่องบดกาแฟที่ค่อนข้างมีคุณภาพในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบดไฟฟ้า หรือเครื่องบดมือก็ได้เหมือนกัน

อุณหภูมิ

หากเรานำน้ำตาลใส่ลงไปในน้ำร้อน กับนำน้ำตาลใส่ลงไปในน้ำเย็น แล้วลองสังเกตอัตราการละลายดู เราจะพบได้อย่างชัดเจนว่า ในน้ำร้อนนั้นเกิดการละลายได้เร็วกว่าหลายเท่าตัวนัก หลักการนี้สามารถใช้ได้กับกาแฟของเราเช่นเดียวกัน ยิ่งอุณหภูมิสูงขึ้นเท่าไหร่ การสกัดก็จะเกิดขึ้นเร็วมากเท่านั้น หากในการสกัดกาแฟ ถ้ากาแฟของเรามีรสชาติที่ขมมากจนเกินไป แต่เราต้องการที่จะใช้เวลาในการสกัด และเบอร์บดกาแฟเท่าเดิม ให้เราลองลดอุณหภูมิของน้ำดู หรือหากกาแฟของเรามีรสเปรี้ยวจนเกินไป เราก็แค่ทำการเพิ่มอุณหภูมิของน้ำ ก็จะสามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสารประกอบบางชนิด ที่จะสามารถถูกสกัดออกมาได้ในอุณหภูมิที่สูงที่สุดเพียงเท่านั้น อย่างสารประกอบที่ให้รสฝาดบางตัว ที่จะสามารถถูกสกัดออกมาในอุณหภูมิที่ใกล้เคียง 100 องศาเซลเซียสเท่านั้น ซึ่งสารประกอบบางอย่างเหล่านี้เป็นสารประกอบที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเราจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำในอุณหภูมิที่สูงกว่า 95 องศาเซลเซียสในการชงกาแฟ

Coffee Crema

SCA ได้แนะนำให้ใช้น้ำในการชงกาแฟ อยู่ที่อุณหภูมิระหว่าง 90-96 องศาเซลเซียส และสำหรับการประเมินรสชาติของกาแฟ อย่างการคัพปิ้งกาแฟนั้น อุณหภูมิที่หลากหลายมีประโยชน์มากเช่นกัน ที่อุณหภูมิ 71 องศาเซลเซียส เหมาะสมที่จะจิบกาแฟในครั้งแรก แล้วสังเกตถึงรสชาติโดยรวม 60-71 องศาเซลเซียส สำหรับการพิจารณาเกี่ยวกับความเป็นกรด บอดี้ และบาลานซ์ในเครื่องดื่ม และที่อุณหภูมิ 38 องศาเซลเซียส เราจะสามารถรับรู้ได้ถึงรสชาติหวาน ความสม่ำเสมอ และความคลีนในเครื่องดื่ม

และแน่นอนว่า เพียงแค่เรื่องของอุณหภูมิแค่เรื่องเดียวนั่น เราก็สามารถจะหยิบมาดัดแปลง และทดลองปรับเปลี่ยนสูตรของกาแฟเราให้มีมากมายหลากหลายได้แล้ว อยากให้ลองทำดู

หากเราจะคุยเรื่องของอุณหภูมิน้ำ แน่นอนว่าเราน่าจะหยิบยกกาแฟประเภทหนึ่งมาคุยกัน นั่นก็คือกาแฟสกัดเย็น เป็นเครื่องดื่มที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความเป็นกรดที่ต่ำ และการมีรสชาติที่ค่อนข้างกลมกล่อมดื่มง่าย สำหรับบางคน การดื่มกาแฟสกัดเย็นอาจไม่เข้าทางเท่าไหร่ เพราะอาจมองว่า จะทำให้ความเป็นกรดที่ดีงามในกาแฟนั้นหายไป แต่สำหรับบางคน ที่ไม่ชอบดื่มกาแฟรสเปรี้ยว น่าจะชื่นชอบในรูปแบบกาแฟสกัดเย็นมากกว่า เนื่องจากดื่มง่าย ไม่ว่าใครก็สามารถดื่มได้ อย่างที่บอกไปว่า สารประกอบบางชนิดจะถูกสกัดออกมาในอุณหภูมิน้ำที่ค่อนข้างสูง การเป็นกาแฟสกัดเย็น นอกจากสารประกอบที่ให้รสเปรี้ยว จะถูกสกัดออกมาในระดับที่น้อยแล้ว สารประกอบที่ให้รสฝาดและรสขมหลายอย่าง ยังถูกสกัดออกมาในปริมาณที่น้อยด้วย ดังนั้นกาแฟสกัดเย็นจึงดื่มง่าย ไม่ว่าใครก็น่าจะชอบได้ไม่ยาก

ถึงแม้ว่าระยะเวลาที่ใช้ในการสกัดจะเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างนาน บางคนอาจใช้ระยะเวลาถึง 12 ชั่วโมงขึ้นไป แต่ถึงอย่างนั้นระยะเวลาที่นานมากนี้ ก็ยังไม่สามารถชดเชยอุณหภูมิน้ำที่สูง ที่จะดึงสารประกอบบางอย่าง ที่ให้รสชาติบางอย่างออกมาได้

การรบกวนการสกัดกาแฟ

การรบกวนการสกัดกาแฟ ความหมายก็ตรงตัว มันก็คือการที่เราไปรบกวนบางอย่าง ระหว่างที่เกิดกระบวนการสกัด หรือระหว่างชงกาแฟ อย่างการนำช้อน หรืออะไรสักอย่างไปคนในกาแฟของเรา เหล่านี้ก็สามารถที่จะเพิ่มอัตราการสกัดได้แล้ว การรบกวนการสกัดกาแฟนี้ บาริสต้าหลายคนยังใช้เป็นเทคนิคส่วนตัว เพื่อจะเพิ่มรสชาติบางอย่างในเครื่องดื่ม แต่ก็จำเป็นที่จะต้องฝึกฝนให้ดี ถ้าอยากใช้การรบกวนการสกัดเป็นเทคนิค เพราะท้ายที่สุดแล้วเรื่องของความสม่ำเสมอก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดอยู่ดี

โปรไฟล์การคั่ว

กาแฟคั่วโปรไฟล์ที่แตกต่างกัน แน่นอนว่ารสชาติของกาแฟนั้นแตกต่างกัน บางโปรไฟล์สามารถแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย หากเราคั่วกาแฟเข้ม เวลาที่ใช้ในการคั่วก็จะนานยิ่งขึ้น โครงสร้างภายในเมล็ดกาแฟบางอย่างอาจเสื่อมสลายมากกว่า ทำให้เกิดอัตราการละลาย หรือกระบวนการสกัดที่มากกว่าการคั่วอ่อน

และที่สำคัญ หากเป็นกาแฟที่คั่วเข้มมากขึ้น แน่นอนว่าจะมีรสขมที่มากขึ้น ดังนั้นหากเราทำการสกัดกาแฟนานจนเกินไป หรือบดกาแฟละเอียดมากจนเกินไป หรืออาจจะใช้น้ำร้อนมากจนเกินไป อาจส่งผลต่อรสชาติที่เข้มข้นเข้าไปอีก ความคมที่มากขึ้นไปอีก หรือรสไหม้ที่ไม่พึงประสงค์มากขึ้นไปอีก

ในทางกลับกัน หากเป็นกาแฟในระดับที่คั่วอ่อน เครื่องดื่มที่ได้ก็จะมีรสเปรี้ยวได้มากยิ่งขึ้น ในกรณีที่เราไม่ได้นำปัจจัยอย่างระยะเวลา เบอร์บด และอุณหภูมิของน้ำ เข้ามาเกี่ยวข้อง

เคล็ดลับที่สำคัญอีกอย่างคือ อย่าลืมที่จะตรวจสอบ ว่ากาแฟของเราคั่วเมื่อไหร่ คั่วมานานเท่าไหร่แล้ว กาแฟก็เหมือนอาหารชนิดอื่น คุณภาพจะค่อย ๆ ลดลงหลังจากที่คั่วเป็นระยะเวลานานขึ้น มันอาจจะเกิดการสูญเสียรสชาติและกลิ่นมากยิ่งขึ้น รวมทั้งอาจส่งผลต่อการสกัดบางอย่างด้วย บางเมล็ดอาจใช้เวลาประมาณ 3 เดือนถึงครึ่งปี บางเมล็ดใช้เวลาเพียงแค่ 1 เดือนกลิ่นก็สามารถที่จะหายได้หมดแล้ว

 ตัวกรอง หรือฟิลเตอร์

ตัวกรองหรือฟิลเตอร์นั้น มีแบบที่แตกต่างกันมากมายหลากหลาย ถึงแม้ว่าเราจะคุ้นชินกับกระดาษกรอง ที่เราเห็นใช้กันบ่อยมากที่สุดก็ตาม และตัวกรองทุกชนิดก็จะไม่เหมือนกัน ทำจากวัสดุที่มีความแตกต่างกัน คุณสมบัติในการกรองสิ่งต่าง ๆ ก็ไม่เหมือนกันด้วย นั่นทำให้รสชาติของเครื่องดื่มของเราออกมาแตกต่างกัน

ตัวกรองที่มีความละเอียด สามารถกรองสิ่งขนาดเล็กที่มีความละเอียดได้มาก จะสามารถที่จะหลีกเลี่ยงรสขมในกาแฟได้มากกว่า ในทางกลับกัน หากตัวกรองมีความละเอียดมากจนเกินไป จะทำให้เกิดการแช่มากขึ้น และกาแฟสัมผัสกับน้ำมากขึ้นด้วย แทนที่จะเป็นการหลีกเลี่ยงรสขม สุดท้ายเราก็จะได้รสชาติที่ขมออกมาอยู่ดี

ตัวกรองที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุด คือกระดาษกรอง ซึ่งสามารถที่จะดักจับน้ำมันที่ออกมาจากกาแฟได้ในปริมาณที่มาก ยิ่งกระดาษหนาเท่าไหร่ ยิ่งกักเก็บน้ำมันได้มากขึ้นเท่านั้น นั่นทำให้กาแฟของเรา มีบอดี้ที่เบาบางมากขึ้น เครื่องดื่มมีความสว่างมากยิ่งขึ้น ดังนั้นหากเราต้องการบอดี้ที่หนักขึ้น ให้ลองใช้ตัวกรองที่เป็นโลหะ หรืออาจจะเป็นผ้าดู

เมล็ดกาแฟที่เราเลือกใช้

ถึงแม้ว่าจะมีตัวแปรมากมายหลากหลายที่เราให้ความสำคัญ ซึ่งจะปรับเปลี่ยนรสชาติของเครื่องดื่มของเราอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นก็มีสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุด ที่จะเป็นตัวกำหนดรสชาติของเครื่องดื่ม นั่นคือตัวเมล็ดกาแฟเอง อย่างที่เรารู้กันว่ากาแฟไม่เหมือนกันเลย มีความหวานที่ต่างกัน ความเปรี้ยวที่ต่างกัน ความหนักเบาก็ยังต่างกันด้วย และหากมองลึกลงไป สารประกอบที่อยู่ภายในเมล็ดกาแฟเหล่านี้ก็ยังคงมีความแตกต่างกัน ทั้งในเรื่องของชนิดสารประกอบบางอย่าง หรือปริมาณของสารประกอบเหล่านั้นด้วย

หากจะกล่าวถึงเมล็ดกาแฟ กาแฟจะให้รสชาติต่างกันอย่างไร ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติที่แตกต่างกันเหล่านี้

  • ที่มาของกาแฟ กาแฟที่มาจากภูมิภาคแตกต่างกัน หรือประเทศที่แตกต่างกัน แน่นอนว่าจะมีกลิ่นและรสชาติที่แตกต่างกันด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นกาแฟของเอธิโอเปีย อาจจะขึ้นชื่อในเรื่องของความเป็นกรด และกลิ่นดอกไม้หอมฟุ้ง กลับกันหากเป็นกาแฟโคลอมเบีย เราอาจได้บาลานซ์ที่ดีจากกาแฟเหล่านี้
  • วิธีการโพรเซส กาแฟแบบ natural หรือ dry อาจมีแนวโน้มที่กาแฟจะมีรสหวาน และค่อนข้างมีบอดี้ กลับกันกาแฟแบบ wet หรือ washed มักจะมีความคลีน ซึ่งจะทำให้ความเป็นกรดโดดเด่นออกมาด้วย และสุดท้าย หากเป็นกาแฟ honey เราอาจได้ความหวานละมุน และมีบอดี้ด้วยเช่นกัน เหล่านี้ขึ้นอยู่กับกระบวนการที่ใช้ในการโพรเซส ซึ่งโดยปกติจะมาพร้อมกับเรื่องพันธุ์กาแฟ กาแฟบางพันธุ์ เหมาะสมมากกว่าที่จะนำไปทำบางโพรเซส บางพันธุ์ก็สามารถทำให้หลากหลายได้
The Black Dripper

การชงกาแฟนั้น อาจจะดูเหมือนเป็นอะไรที่เรียบง่าย เพียงแค่เราทำการผสมน้ำร้อนเข้ากับกาแฟบด แต่เมื่อเราต้องการที่จะปรับปรุงรสชาติ และพัฒนาฝีมือในการชงกาแฟของเรา มันอาจจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมออกมามากมาย เราจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับรสชาติและกลิ่นหอม ที่อยู่ในกาแฟแต่เดิม ซึ่งค่อนข้างที่จะมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ตัวแปรที่เรามานำเสนอเหล่านี้ อาจจะช่วยในการทำความเข้าใจเครื่องดื่มของคุณได้มากยิ่งขึ้น และคุณจะสามารถหาสูตรที่ดีที่สุด ที่จะชงเครื่องดื่มของคุณออกมา และถูกใจทั้งตัวเองและคนที่เราชงให้ดื่มได้

สิ่งที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่ง หากต้องการที่จะทำความเข้าใจและเรียนรู้เกี่ยวกับกาแฟ นั่นคือเรื่องของการทดลอง เมื่อเราเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้แล้ว การทดลองสิ่งใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากอีกต่อไป เราจะสกัดอย่างไร ปรับเปลี่ยนตัวแปรอย่างไรเพื่อให้กาแฟของเราออกมาแตกต่าง และเรายังสามารถที่จะคาดคะเนได้ว่า รสชาติของกาแฟที่เปลี่ยนไปนะ เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ที่เหลือก็เพียงแค่ลองทำดู และลองวิเคราะห์รสชาติที่เปลี่ยนไปนี้ ว่าเราชอบหรือไม่ชอบหรือไม่

ทุกครั้งที่เราชงกาแฟ หรือเราดื่มกาแฟ เราจะมีสิ่งใหม่ที่ได้เรียนรู้ทุกครั้ง ทั้งเรื่องของเมล็ดกาแฟ และเรื่องของวิธีการของผู้ที่ชงกาแฟ ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นอะไรที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก และน่าเรียนรู้ทำความเข้าใจด้วย