แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ไปจนถึงนักโภชนาการ และโค้ชทางด้านกีฬาหลายคน ได้มีการบอกเล่าถึงประโยชน์ต่อสุขภาพของกาแฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับการพิสูจน์ มีงานวิจัยและการศึกษามากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ อย่างการมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงในกาแฟ ที่จะช่วยเพิ่มความอ่อนเยาว์ หรือแม้กระทั่งลดความเสี่ยงของโรคบางชนิด ไม่ว่าจะเป็นโรคพาร์กินสัน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจและหลอดเลือดด้วย
ปัจจุบัน ผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก ยกให้กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่เป็นส่วนสำคัญสำหรับอาหารในแต่ละวัน และด้วยกระแสการหันมาดูแลสุขภาพ และการต้องการที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขับเคลื่อนให้คนรุ่นใหม่มากมาย หันมายอมรับกาแฟว่าเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ และหันมาดื่มเพื่อทดแทนเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงมากมายในทุกวันนี้
วันนี้เราจะไปคุยกันเรื่องของ กาแฟกับสุขภาพ ผลกระทบต่อสุขภาพของเรา เครื่องดื่มชนิดนี้มีประโยชน์ด้านสุขภาพมากมายอย่างไร และบางคนถึงกับบอกว่าเครื่องดื่มชนิดนี้เป็นซูเปอร์ฟู้ดตามธรรมชาติ มันเป็นแบบนั้นจริงหรือไม่ วันนี้เราไปดูกัน

ประโยชน์ทางด้านโภชนาการของกาแฟ กาแฟกับสุขภาพ
ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่ดื่มกาแฟก่อนทำงาน หลังอาหาร หรือดื่มเพื่อเพิ่มพลังงานก่อนออกกำลังกาย ไม่ว่าจะอย่างไรกาแฟก็มีประโยชน์ทางโภชนาการมากมาย มันถูกเชื่อมโยงกับสารต้านอนุมูลอิสระระดับสูง ที่อยู่ในตัวของมันเอง สารต้านอนุมูลอิสระมีความสำคัญต่อสุขภาพ เนื่องจากสามารถป้องกันเซลล์ จากการถูกออกซิไดซ์โดยสารพิษ สารเคมี และการอักเสบได้
กระบวนการออกซิเดชันของเซลล์ นำไปสู่การผลิตอนุมูลอิสระ ซึ่งจะเป็นอะตอมหรือโมเลกุลที่ไม่เข้าคู่ สิ่งเหล่านี้จะไปสะสมในเซลล์ และอาจก่อให้เกิดความเสียหายที่แก้ไขไม่ได้บางอย่าง สารต้านอนุมูลอิสระ จะไปหยุดยั้งเซลล์ไม่ให้ถูกออกซิไดซ์ ทำให้จำนวนอนุมูลอิสระในร่างกายของมนุษย์ลดลง
ด้วยเหตุนี้เองการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงสามารถที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอนุมูลอิสระได้ ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่รูปข้ออักเสบ โรคอัลไซเมอร์ ไปจนถึงโรคหัวใจเลยทีเดียว
ตัวอย่างการศึกษาและการวิจัยที่สำคัญ มีการวิจัยที่จัดทำขึ้นเป็นระยะเวลายาวนานถึง 13 ปี โดย Journal of the American Heart Association พบว่าผู้ที่ดื่มกาแฟในระดับปานกลาง หรือในระหว่าง 2-4 แก้วต่อวัน มีโอกาสน้อยกว่าที่จะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด หากเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่มกาแฟเลยถึง 20 เปอร์เซ็นต์
เห็นด้วยเหตุนี้เอง หลายประเทศในยุโรป เช่นฟินแลนด์ นอร์เวย์ โปแลนด์ และสเปน จึงยกให้กาแฟเป็นแหล่งอาหารที่ใหญ่ที่สุด ที่จะให้สารต้านอนุมูลอิสระ ในประเทศเหล่านี้มีการบริโภคกาแฟที่ให้สารต้านอนุมูลอิสระมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของการบริโภคโดยเฉลี่ยของผู้บริโภคทั่วโลก สารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ และอาจสนับสนุนการป้องกันโรคหัวใจได้อย่างกรดคลอโรเจนิก ก็เป็นสารที่สามารถพบได้ในกาแฟ
นอกจากประโยชน์ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟแล้ว ยังมีงานวิจัยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่บ่งชี้ถึงกาแฟ กับผลกระทบต่ออายุขัย อย่างการศึกษาที่สำคัญในปี 2012 โดยจะ New England Journal of Medicine พบว่าผู้หญิงที่ดื่มกาแฟ 4-5 แก้วต่อวัน มีความเสี่ยงน้อยลง 12 เปอร์เซ็นต์ที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร สำหรับผู้ชายนั้นตัวเลขอยู่ที่ 16 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นการบริโภคกาแฟที่ค่อนข้างปานกลางถึงสูง แต่ถึงแม้ว่าจะมีการบริโภคในระดับต่ำถึงปานกลาง หรือก็คือเพียงแก้วเดียวต่อวัน ก็ยังมีอัตราความเสี่ยงลดลงอยู่ที่ 5-6 เปอร์เซ็นต์อยู่ดี
ถึงเมื่อก่อนจะเป็นที่ถกเถียงกันอยู่มาก ว่ากาแฟนั้นส่งผลดีทางด้านโภชนาการและมีประโยชน์ต่อสุขภาพหรือไม่ แต่ตั้งแต่ในช่วงปี 2010 ขึ้นไป ก็เริ่มมีการศึกษาและวิจัยกันอย่างจริงจังมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพของกาแฟ จนกระทั่งปัจจุบันมันได้รับการยอมรับ และบางคนถึงกับกล่าวว่าสิ่งนี้คือซูเปอร์ฟู้ดตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าจะขับเคลื่อนและผลักดันอุตสาหกรรมกาแฟได้เป็นอย่างดี
เหตุใดกาแฟจึงกลายมาเป็นเทรนด์สุขภาพ และนิยมไปทั่วโลก
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ มีการให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้น ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มคนหนุ่มสาว นั่นส่งผลให้ทัศนคติต่ออาหารและเครื่องดื่มเปลี่ยนไปอย่างมาก ผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนจากความสะดวกสบาย และต้นทุนที่ประหยัด เป็นการเห็นประโยชน์ และหันมาใส่ใจในด้านของสุขภาพในผลิตภัณฑ์ที่พวกเขากินและดื่มกันมากยิ่งขึ้น
รายงานล่าสุดเกี่ยวกับเทรนด์การกินพบว่า ผู้คนกลุ่มมิลเลนเนียลและคนเจน Z มีแนวโน้มที่จะลองผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพใหม่ๆ มากกว่ากลุ่มคนกลุ่มอื่นมากถึง 29 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้กลุ่มคนเหล่านี้ยังมีแนวโน้มที่จะใช้เวลาในการค้นคว้าและหาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพทางออนไลน์ก่อนตัดสินใจซื้อด้วย
สำหรับหลายคนแล้ว กาแฟนับว่ามีบทบาทสำคัญในการดำเนินชีวิต เรียกได้ว่าขาดกันไม่ได้ ต่อชีวิตที่มีสุขภาพที่ดี สิ่งนี้เห็นได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเพิ่มขึ้นของตลาดเครื่องดื่ม กาแฟสกัดเย็น และกาแฟพร้อมดื่ม ซึ่งบางคนยอมรับว่าทางเลือกนี้เป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ มากกว่าหากเทียบกับเครื่องดื่มชูกำลัง

ข้อดีอีกประการที่ผู้คนเลือกดื่มกาแฟมากกว่าเครื่องดื่มชูกำลัง เนื่องจากสามารถให้คาเฟอีนได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีการใส่น้ำตาลลงไปเพิ่ม (เว้นแต่กาแฟบางตัวจากใส่ลงไป) อีกทั้งยังได้ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงไม่มีสารให้ความหวานเทียมหรือสารแต่งกลิ่นใดเลย
หากเราจะคุยกันเรื่องของคาเฟอีน สิ่งสำคัญที่เราต้องไม่ลืมก็คือ นอกเหนือจากในกาแฟแล้ว พวกเครื่องดื่มอย่างชา น้ำอัดลม ช็อคโกแลต หรือแม้กระทั่งเครื่องดื่มชูกำลัง ก็ยังมีคาเฟอีนปะปนอยู่ในนั้นด้วยเช่นเดียวกัน
ไม่เพียงแค่นั้น กาแฟยังมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการลดปริมาณแคลอรี่ต่อวัน โดยปกติแล้ว พวกเครื่องดื่มที่เป็นโซดารสหวาน มักจะผสมน้ำตาลอยู่ด้วย เหล่านี้แคลอรี่เฉลี่ยจะอยู่ที่ 150 กิโลแคลอรี่ต่อ 1 หน่วยบริโภค ในขณะที่กาแฟ 1 หน่วยบริโภค ปริมาณอยู่ที่ประมาณ 340 กรัม มีปริมาณแคลอรี่อยู่เพียงแค่ 4 กิโลแคลอรี่เท่านั้น แต่นั่นคือในกรณีที่เราไม่ใส่น้ำตาลหรือสารให้ความหวานเพิ่ม ในปริมาณที่เท่ากัน เราสามารถลดแคลอรี่ไปได้ถึง 146 กิโลแคลอรี่ นี่จึงเป็นเหตุผลให้กาแฟเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ควบคุมอาหารและอยากลดน้ำหนัก
นอกจากนี้แล้ว กาแฟยังมีสารอาหารที่เชื่อมโยงต่อการปรับปรุงพลังงานและประสิทธิภาพของร่างกาย ยกตัวอย่างเช่นแมกนีเซียม โพแทสเซียม และวิตามินบีด้วย
จากการศึกษาพบว่า ระดับของแมกนีเซียมที่สูงขึ้นสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นกีฬา ในขณะที่โพแทสเซียมช่วยในการรักษามวลกล้ามเนื้อและความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ
ถึงจะดูมีประโยชน์ แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่แนวโน้มด้านสุขภาพของกาแฟเหล่านี้ ไม่ได้ถูกพูดถึงหรือได้รับการยอมรับในระดับสากลมากพอ โดยเฉพาะในประเทศผู้ผลิตกาแฟเหล่านี้ การพูดถึงเรื่องของสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ไม่ใช่ข้อถกเถียงสำคัญที่ประเทศเหล่านี้มักจะพูดถึง บางประเทศถึงเกือบถูกจำกัดการเข้าถึงหรือพูดถึงด้วยซ้ำ
ในประเทศผู้ผลิตกาแฟซึ่งมีวัฒนธรรมกาแฟที่เข้มข้นหลายประเทศ หากลองมุ่งเน้น และหยิบเกี่ยวกับเรื่องด้านสุขภาพ ไปพูดถึงให้มากยิ่งขึ้นอาจทำให้เกิดมิติใหม่กับวัฒนธรรมนั้น ดีไม่ดีอาจจะเป็นการเพิ่มมูลค่ามหาศาลให้กับอุตสาหกรรมโดยรวมได้ด้วยซ้ำ
กาแฟ มะเร็ง และกฎหมาย Proposition 65
แม้ว่าจะมีการวิจัย และการศึกษามากมายเกี่ยวกับประโยชน์ต่อสุขภาพของกาแฟ แต่ก็ยังมีความเข้าใจผิดบางประการอยู่ในอุตสาหกรรมกาแฟนี้ หนึ่งในกรณีที่สำคัญที่เราอยากจะยกมาเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับความเข้าใจผิดของกาแฟ คือสิ่งที่เรียกว่ากฎหมาย Proposition 65 ของรัฐแคลิฟอร์เนียสหรัฐอเมริกา
สิ่งนี้ได้รับการตราขึ้นก็ในปี 1986 เผยแพร่โดยรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้มีการเผยถึงรายชื่อสารประกอบต่างๆ ที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ความพิการแต่กำเนิด และอันตรายต่อระบบสืบพันธุ์ รวมถึงอันตรายอื่นด้วย ซึ่งสารประกอบนี้เป็นสารประกอบที่พบในกาแฟนั่นคือสารอะคริลาไมด์ ปัจจุบันในรายการสารประกอบของกฎหมาย Proposition 65 มีทั้งสารประกอบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และสารประกอบที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมามากกว่า 900 ชนิดแล้ว ในรัฐแคลิฟอร์เนียเอง ถูกกำหนดให้จำเป็นจะต้องแสดงคำเตือนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใดๆ ที่มีสารประกอบเหล่านี้ นั่นทำให้ผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจ ขายกาแฟ ซึ่งมีสารประกอบเหล่านี้อยู่ได้ยากมากขึ้น
ในปี 2018 ทั้งผู้คั่วกาแฟและผู้ค้าปลีกกาแฟ ยื่นข้อเสนอต่อผู้พิพากษาสูงสุดของ Los Angeles ว่าด้วยเรื่องของระดับของสารอะคริลาไมด์ ซึ่งเป็นสารเคมีที่จะเกิดขึ้นเมื่อเมล็ดกาแฟถูกคั่ว สารประกอบดังกล่าวนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อมะเร็งแต่อย่างใด แต่ข้อเรียกร้องดังกล่าวนี้ล้มเหลว
นั่นหมายความว่า หากอยู่ภายใต้ของเพราะกฎหมาย Proposition 65 กาแฟจะต้องถูกระบุว่าเป็นสารก่อมะเร็ง ธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับกาแฟทั้งหมด ที่อยู่ในแคลิฟอร์เนียจะต้องโฆษณา และระบุถึงกาแฟในลักษณะดังกล่าว สิ่งนี้ทำให้คนกลัวกาแฟ และเชื่อมโยงกาแฟกับมะเร็งไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถึงแม้ว่าหลักฐานที่มีการวิจัยและศึกษามามากมายจะตรงกันข้ามก็ตาม
เมื่อรัฐแคลิฟอร์เนียติดฉลากกาแฟให้มีความเชื่อมโยงกับมะเร็ง ไม่เพียงแต่สิ่งนี้จะส่งข้อความที่ไม่จริงสำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟเท่านั้น แต่หากลึกลงไปอีก อาจทำให้เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ จะต้องประสบกับความต้องการกาแฟที่ลดลงด้วย
หลังจากผ่านไป 1 ปี ในช่วงเดือนมิถุนายน 2019 คำตัดสินได้เปลี่ยนไป มีการระบุว่าสารเคมีในกาแฟไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง กาแฟจึงได้รับการยกเว้นจากคำเตือนมะเร็งในกฎหมาย Proposition 65 กรณีดังกล่าวนี้ได้รับการตรวจสอบโดยตรงจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งสนับสนุนมุมมองที่ว่ากาแฟไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง อีกทั้งยังมีการระบุว่าสามารถช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิดได้ด้วยซ้ำ
แต่ถึงแม้ว่าจะมีคำตัดสินมาเป็นแบบนี้แล้ว ถึงอย่างนั้นผู้บริโภคบางคนก็ยังเชื่ออยู่ดี หากผู้บริโภคยังคงเชื่อว่ากาแฟคั่วเป็นสารก่อมะเร็ง ถึงแม้จะมีคำตัดสินทางกฎหมาย หรือผลวิจัยที่หนาแน่นเท่าไหร่รองรับก็ตาม ผู้คนก็ยังคงไม่เชื่ออยู่ดี และหากเป็นแบบนั้นมากขึ้น อาจทำให้ธุรกิจกาแฟทั้งห่วงโซ่ได้รับผลกระทบตามมาก็ได้

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้มีการศึกษาและการวิจัยจำนวนมาก เกี่ยวกับประโยชน์ต่อสุขภาพของกาแฟ สิ่งนี้เองนำมาสู่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กาแฟถูกผลักดันและส่งเสริมให้เป็นส่วนประกอบสำคัญ ของอาหารและเครื่องดื่มด้านสุขภาพ
นอกจากนี้กาแฟยังให้คาเฟอีน ที่อาจมีความจำเป็นมากสำหรับผู้คนนับล้านในทุกวัน นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงต่างๆ ในขณะเดียวกันก็ยังมีความเข้าใจผิดอยู่ สำหรับหลายคนที่อาจมองกาแฟเป็นภัยร้าย จะอย่างไรก็ตามอยากจะยืนยันว่า มีการศึกษาและการวิจัยมากมาย ที่ได้สนับสนุนประโยชน์ทางโภชนาการและสุขภาพของกาแฟเป็นวงกว้าง
สำหรับเราที่เป็นคอกาแฟตัวยง น่าจะดื่มกาแฟกันเป็นปกติอยู่แล้ว แต่สำหรับใครที่ไม่เคยลอง ต่อไปหากเราอยากได้เครื่องดื่มชูกำลัง หรือเครื่องดื่มที่เป็นทางเลือกสุขภาพ อยากให้ลองพิจารณากาแฟเป็นทางเลือกอีกทางเลือกหนึ่ง ไม่แน่คุณอาจจะชอบมัน และใช้มันเป็นเครื่องดื่มสุขภาพ อีกทั้งยังมีประโยชน์ทางด้านโภชนาการสำหรับตัวคุณด้วย