กาแฟ เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลกอย่างหนึ่ง ซึ่งนั่นหมายความว่า การผลิตและส่งออกกาแฟรวมกันทั้งโลก มีอัตราที่สูงเอามาก ๆ อาจจะเป็นอัตราที่สูงที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
สิ่งนี้ตามมาด้วยการมองย้อนไปถึงต้นทาง โดยธรรมชาติแล้ว การผลิตทางการเกษตรที่มีสเกลใหญ่ถึงขนาดนี้ คิดกันตามปกติ มันขัดกับหลักการ และขัดแย้งกับเรื่องของการอนุรักษ์ และปกป้องสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน บ่อยครั้ง ภาคการเกษตรกาแฟขนาดใหญ่นี้ เราจะนำไปผูกติดกับภาพของการตัดไม้ทำลายป่า และระบบการจัดการฟาร์มที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลกับสิ่งแวดล้อมเอามาก ๆ
แต่เป็นเรื่องน่าดีใจ ที่ใน อุตสาหกรรมกาแฟ ยุคใหม่ ได้มีการพยายามให้ความสำคัญกับเรื่องของการปลูกกาแฟให้มีความยั่งยืน ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรมนี้จึงได้มีความพยายามมากขึ้น ในการที่จะสนับสนุนแนวทางการเกษตร ที่ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิตกาแฟ
ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากผลกระทบในเรื่องของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ส่งผลกระทบต่ออนาคตของภาคการผลิตกาแฟอย่างหนัก การพยายามนำแนวทางการเกษตรอย่างยั่งยืนมาใช้ใน อุตสาหกรรมกาแฟ จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากกว่าที่เคย

ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ในทั้งห่วงโซ่การผลิตกาแฟ สามารถที่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ขนาดไหน และส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง ตลอดจนถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหานี้ เพื่อให้ปัญหาที่ดูเหมือนจะสายเกินแก้ อย่างน้อยก็อาจที่จะบรรเทาได้บ้าง
ทำความเข้าใจ ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตกาแฟ
ประการแรกที่จะมาชวนคุยกัน คือเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในวงกว้างมากที่สุดในการผลิตกาแฟ คือเรื่องของการทำการเกษตร หรือก็คือเรื่องของการเพาะปลูกนั่นเอง มีการคาดการณ์ตัวเลขของเกษตรกรรายย่อย ว่าทั่วโลกนั้น เกษตรกรรายย่อยเหล่านี้มีอัตราการผลิตกาแฟได้มากถึง 80 เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้น เกษตรกรรายย่อยเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะมีพื้นที่สำหรับปลูกกาแฟในฟาร์มของตน เฉลี่ยอยู่ที่เพียงแค่ 30 เฮกตาร์ หรืออาจน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำไป นั่นหมายความว่า carbon footprint ที่มาจากเกษตรกรรายย่อยเหล่านี้น้อยมาก หากนำไปเทียบกับไร่กาแฟขนาดใหญ่จากผู้ผลิตรายใหญ่ และบริษัทผลิตกาแฟข้ามชาติ
ด้วยเหตุนี้เราจึงกล่าวได้ว่า ผู้ที่มีส่วนจะต้องรับผิดชอบในด้านของสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ไม่ใช่บรรดาเกษตรกรรายย่อยเหล่านี้ แต่เป็นบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างหาก เป็นเรื่องจริงที่ว่าทุกคนก็มีส่วนในการรับผิดชอบเรื่องนี้ แต่หากจะให้เห็นผลชัดเจนที่สุด ผู้ที่มีส่วนมากที่สุดน่าจะทำอะไรได้มากกว่า
ถึงแม้จะมีการนำแนวทางการทำการเกษตรอย่างยั่งยืนมาใช้ในภาคการเกษตรนี้แล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมเหล่านี้จะหายไปทั้งหมด หรือสามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด ยังมีในส่วนอื่นที่ต้องแก้ไขอยู่อีกมาก
การศึกษาในปี 2021 มีการศึกษาโดย University College London พบว่า ในภาคการส่งออกกาแฟ เป็นภาคส่วนในการปล่อยแก๊สคาร์บอนได้ออกไซด์โดยรวม สูงที่สุดเป็นอันดับสองของทั้งห่วงโซ่การผลิตกาแฟ ที่ส่งผลกระทบมากอย่างเห็นได้ชัด เป็นในเรื่องของการขนส่งกาแฟ ที่ต้องอาศัยเชื้อเพลิงฟอสซิลในการขนส่ง เนื่องจากการขนส่งกาแฟไปยังประเทศต่าง ๆ นั้น จะทำการขนส่งด้วยเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการปล่อยมลพิษเท่านั้นที่เป็นผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิตกาแฟ ยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบด้เวยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น การใช้สารเคมี และปัจจัยการผลิต แนวทางการเกษตรที่ไม่ถูกต้องในฟาร์มขนาดใหญ่ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมได้เช่นกัน อย่างการใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและสัตว์ป่าโดยรอบได้
การใช้สารเคมีมากจนเกินไปนั้น สามารถที่จะทำให้ดินแย่ลงได้ ซึ่งดินนี้เอง ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการเจริญเติบโตของกาแฟ นอกจากนี้แล้ว อาจจะเกิดการปนเปื้อนในน้ำที่อยู่ใต้ดินด้วย และยังอาจเกิดสิ่งที่เรียกว่า eutrophication นั่นก็คือ การที่ในแหล่งน้ำเกิดการอิ่มตัว มีสารอาหารและแร่ธาตุมากจนเกินไป โดยเฉพาะไนโตรเจนและฟอสฟอรัส ในที่สุด การที่เป็นแบบนี้จะทำให้สัตว์ต่าง ๆ แมลง ปลา นก รวมถึงพืชตายได้
การตัดไม้ทำลายป่า ยังเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ของภาคการเกษตรกาแฟ สิ่งนี้จะนำไปสู่การสูญเสียที่อยู่ของสัตว์ป่าในท้องถิ่น สิ่งนี้มีความสำคัญอย่างมาก เพราะหากสูญเสียไป อาจจะทำให้พื้นที่ที่เคยเหมาะสมแก่การเพาะปลูก ไม่เหมาะสมในการเพาะปลูกกาแฟอีกต่อไป จากเดิมที่ปัญหกานี้เปแนปัญหาใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะเป็นการไปเร่งเวลาให้เกิดเร็วขึ้น เนื่องจากสัตว์ป่าเหล่านี้จะไม่อยู่ และความอุดมสมบูรณ์ก็จะหายไป
สิ่งที่ควรทำในส่วนนี้ ไม่ใช่เพียงแค่การอนุรักษ์สัตว์ป่าเท่านั้น แต่ยังต้องรวมถึงถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์เหล่านี้ด้วย สัตว์ป่าเหล่านี้มีส่วนในการเพิ่มความอุดมสมบรณ์ และมีส่วนสำคัญอย่างมากในการที่ผลผลิตกาแฟจะเจริญเติบโตได้ดี
ทั่วโลก รวมถึงพื้นที่สำหรับปลูกกาแฟที่สำคัญ ๆ พื้นที่เหล่านี้สูญเสียไปต่อปีประมาณ 13 ล้านเฮกตาร์ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ไปทำลายที่อยู่อาศัยของบรรดาสัตว์ แมลง และนกเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังหมายถึงต้นไม้ที่ทำหน้าที่กักเก็บคาร์บอนยังน้อยลงอีกด้วย
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่น่ากังวลมาก ๆ ผู้เชี่ยวชาญได้ทำการคาดการณ์ไว้ว่า หากปริมาณการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกได์ยังคงอยู่ในระดับที่ปล่อยกันอยู่ทุกวันนี้เรื่อย ๆ ภายในปี 2050 พื้นที่ปลูกอาราบิก้าทั่วโลกจะลดลงกว่าครึ่งหนึ่งของที่ปลูกได้ และมีอยู่น้อยนิดนี้

การโพรเซส กับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
การโพรเซสนั้น เป็นกระบวนการที่สำคัญเอามาก ๆ ในการเตรียมกาแฟสำหรับพร้อมที่จะส่งออก และจำเป็นที่จะต้องรักษารสชาติ และคุณภาพของกาแฟไว้ให้ได้เป็นอย่างดี สองวิธีการโพรเซสหลัก ๆ ที่ใช้กัน คือการโพรเซสแบบ washed และ natural
กาแฟที่โพรเซสแบบ washed นั้น ส่วนมากจะสามารถขายได้มากกว่าในท้องตลาด แต่การโพรเซสด้วยวิธีการนี้ ใช้น้ำในกระบวนการค่อนข้างสูง เรียกได้ว่ามากกว่าการโพรเซาสแบบ natural อยู่มาก กลับกันแล้ว แบบ natural กลับไม่มีน้ำเสียในกระบวนการผลิตเลย และถึงมีก็น้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกันแล้ว
แล้วก็เช่นเคย ในกระบวนการโพรเซสนี้ หากเปรียบเทียบระหว่างเกษตรกรรายย่อย กับบรรดาบริษัทผลิตกาแฟยักษ์ใหญ่แล้ว เกษตรกรรายย่อยนั้น สร้างอันตราย หรือใช้ปริมาณน้ำในกระบวนการนี้ในระดับที่ต่ำมาก หากจะเทียบกับผู้ผลิตเจ้าใหญ่ ๆ มากมายในท้องตลาด
การโพรเซสแบบ natural ถือเป็นกรรมวิธีการโพรเซสกาแฟที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดวิธีหนึ่ง เนื่องจากเป็นวิธีการที่ใช้พลังงานน้อยมาก บวกกับใช้น้ำในปริมาณที่น้อยมาก จนถึงอาจไม่ใช้เลย เนื่องจากวิธีการนี้ เราจะทำให้ผลเชอรี่แห้วโดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ โดยการตากให้แห้งนั่นเอง
กลับกัน กาแฟแบบ washed เป็นกาแฟที่ใช้น้ำในปริมาณมาก ซึ่งทำให้หลักการแบบยั่งยืน ไม่ค่อยจะยั่งยืนเท่าไหร่ วิธีการคือ ผลเชอรี่จะถูกแช่ในน้ำ ก่อนที่จะนำน้ำเหล่านั้นทิ้ง เป็นวีการในการนำเปลือกและเมือกออกจากผลเชอรี่กาแฟ
ถึงแม้ว่า รสชาติที่ได้ของกาแฟที่ผ่านการโพรเซสแบบ washed จะได้กาแฟที่มีความคลีนมากกว่าก็ตาม แต่ก็ใช้น้ำในปริมาณที่มากกว่าการโพรเซสแบบ natural ถึงอย่างนั้น หากผู้ผลิตรายย่อย ถึงแม้จะผลิตกาแฟแบบ washed ออกมา ก็ยังไม่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมได้ในปริมาณมากนัก
เรื่องของการจัดการน้ำเสียก็เป็นสิ่งที่สำคัญ หากน้ำเสียเหล่านั้นไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง ก็สามารถที่จะทำให้เกิดมลพิษในแม่น้ำ ลำธาร หรือทะเลสาบได้ และเมื่อก่อให้เกิดมลภาวะทางน้ำแล้ว ก็จะเป็นอันตรายต่อบรรดาสัตว์น้ำทั้งหลายได้ด้วย
นอกจากจะไปทำให้เกิด eutrophication ได้แล้ว ซึ่งอาจทำให้แพลงก์ตอนพืช อย่างพวกสาหร่ายเติบโตได้ หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น จะทำให้กันออกซิเจนและแสงแดด ไม่ให้เข้าถึงใต้ผิวน้ำได้ และนั่นก็จะทำให้บรรดาปลา และสัตว์น้ำอื่น ๆ ตายได้
เปลือกเชอรี่ ก็เป็นอีกหนึ่งผลพลอยได้อันเกิดจากกระบวนการผลิตกาแฟที่เราจะต้องหยิบยกมาพิจารณาเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม ก็เหมือนกับน้ำเสียที่เกิดจากกระบวนการโพรเซส หากไม่ทำการทิ้ง หรือกำจัดอย่างเหมาะสม เปลือกกาแฟเหล่านี้ก็จะสร้างผลเสียทางดิน และทางน้ำได้ด้วยเช่นเดียวกัน
ส่วนอื่น ๆ ในห่วงโซ่
แม้ว่าปัจจุบันนี้ เกษตรกรไร่กาแฟได้หันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์มากขึ้น รวมถึงได้มีแนวทางในการจัดการของเหลือทิ้งอันเกิดจากกระบวนการโพรเซสเหล่านี้ด้วยแล้ว อีกทั้งยังมีการสนับสนุนจากหลายภาคส่วนในเรื่องนี้ แต่ความพยายามในการพัฒนาแนวทางทางด้าน อุตสาหกรรมกาแฟ อย่างยั่งยืนโดยรวมยังต้องคำนึงถึงเรื่องอื่น ๆ ในห่วงโซ่อีกมากมาย หมายความว่า เพียงแค่สองเรื่องนี้ ทั้งเรื่องแนวทางการเกษตร และกระบวนการในการโพรเซสยังไม่เพียงพอ หากอยากรักษาสิ่งแวดล้อมในองค์รวมจริง เราควรที่จะคำนึงถึงแทบจะทุกส่วนในอุตสาหกรรม
ยกตัวอย่างเช่น ในภาคส่วนของการคั่วกาแฟ อาจจะเกิดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกได้ อย่างพวกแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และแก๊สคาร์มอนนอกไซด์ ในเครื่องคั่วรุ่นใหม่ ๆ อาจจะมีการรีไซเคิลอากาศในตัว แต่ในเครื่องคั่วรุ่นเก่า ๆ ไม่ได้มีอะไรแบบนั้น
นอกจากนี้แล้ว ปริมาณขยะ รวมถึงของเสียที่เกิดจากร้านกาแฟ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ บรรดาถ้วย และแก้วแบบใช้ครั้งเดียว) เป็นปัญหาหลักเลยทีเดียวสำหรับเรื่องของสิ่งแวดล้อม การนำบรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวเหล่านี้มาทำการใช้ซ้ำ หรือแม้กระทั่งการนำมารีไซเคิลเป็นแนวทางที่สามารถที่จะทำได้ยาก หรือบางครั้งอาจที่จะไม่สามารถทำได้เลยด้วยซ้ำ ส่งผลให้ขยะบางครั้งจะต้องถูกกำจัดทิ้ง อาจจะเป็นวิธีการฝังกลบ หรือจะด้วยกรรมวิธีใด ๆ ก็ตามแต่ เหล่านี้ก็เป็นอะไรที่ทำลายโลกมากเลยทีเดียว อย่างการฝังกลบ อาจจะจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาหลายร้อยปีเลย กว่าบรรจุภัณฑ์เหล่านี้จะย่อยสลายจนหมด
เราต้องยอมรับว่า การที่เราจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมในส่วนนี้ เราจำเป็นที่จะต้องลงทุนในสิ่งเหล่านี้มากขึ้น นั่นหมายความว่า ผู้บริโภคจำเป็นที่จะต้องจ่ายเงินมากขึ้น เพื่อสามารถที่จะใช้บรรจุภัณฑ์ กระบวนการโพรเซส หรือใช้แนวทางใด ๆ ก็ตาม เพื่อไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม
ผู้บริโภคมีส่วนสำคัญอย่างมาก ต่อการเปลี่ยนแปลงมาเป็นแนวทางที่รักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น หากผู้บริโภคยอมจ่ายเพิ่ม หรือหันมาให้ความสนใจในเรื่องของสิ่งแวดล้อมเหล่านี้มากขึ้นได้ ก็จะเป็นการกดดันบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่น่าจะมีส่วนอย่างมากต่อเรื่องของการหาแนวทางทางด้านกาแฟที่รักษ์สิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากนี้ บรรดาบริษัทกาแฟยักษ์ใหญ่หลายแห่ง ได้ประกาศ รวมถึงการให้คำนั่นสัญญาในเรื่องของการชดเชยการปล่อยมลพิษ และการลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมให้ได้มากขึ้น นั่นรวมถึงแบรนด์กาแฟยักษ์ใหญ่อย่าง Starbucks และ Nespresso นั่นหมายความว่า บริษัทเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องทำงานมากขึ้น เพื่อให้สอดรับกับคำมั่นที่ให้ไว้เหล่านี้ และที่สำคัญมาก คือเรื่องของปริมาณขยะที่บริษัทเหล่านั้นผลิตต่อปี
ไม่ใช่แค่ผู้บริโภค บรรดาเกษตรกรรายย่อย รวมถึงผู้ผลิตรายย่อยอื่น ๆ จำเปแนที่จะต้องสร้างแรงกดดันให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ด้วย นอกจากนี้ ภาครัฐจำเป็นต้องเข้ามามีส่วน ผลักดันในเรื่องของกฎหมายและนโยบาย เหล่านี้จะเป็นสิ่งที่สามารถช่วยเหลือ และสนับสนุนความพยายามในเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้มาก
ยกตัวอย่างเช่น ไม่นานมานี้ สหภาพยุโรปได้ทำการบังคับใช้ “กฎการค้าการตรวจสอบสถานะภาคบังคับฉบับใหม่ (new mandatory due diligence rules)” กับทั้งผู้ส่งออกและผู้ค้า สิ่งนี้ทำให้ในกระบวนการจัดหากาแฟมีความเชื่อมโยงกับเรื่องของการตัดไม้ทำลายป่าน้อยลง
ถึงแม้ว่ากฎหมายที่ทางภาครัฐเหล่านี้ออกมาจะสามารถช่วยได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ จำเป็นที่จะต้องนำโดยผู้ผลิต รวมถึงผู้บริโภคที่จะทำได้
แนวทางในการแก้ไขปัญหา
ถึงจะบอกว่า ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมากที่สุด และสามารถที่จะสร้างผลกระทบมากที่สุดต่อด้านสิ่งแวดล้อมนั้น คือบรรดาแบรนด์ และผู้ประกอบการรายใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว ตลอดทั้งห่วงโซ่ในการผลิตกาแฟนั้น ก็จำเป็นที่จะต้องปรับปรุงด้วย ทั้งนี้รวมถึงผู้บริโภคอย่างเรา
การที่จะเริ่มต้นในการใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เริ่มได้ตั้งแต่ในส่วนแรก คือส่วนต้นทาง อย่างเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ซึ่งเราได้เห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้แล้ว ว่าเกษตรกร อย่างน้อยก็ในหลายส่วนของโลก มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการเกษตร ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างที่สำคัญที่เห็นได้ชัดคือ การปลูกกาแฟภายใต้ร่มเงาของต้นไม้อื่น วิธีการนี้ได้รับการพิสูจน์ออกมาแล้วว่า เป็นวิธีการที่จะสามารถผลิตกาแฟคุณภาพสูงได้ และสามารถผลิตได้ในปริมาณมากด้วย นอกจากนี้ การทำแบบนี้ยังเป็นการส่งเสริมในเรื่องของความหลากหลายทางชีวภาพด้วย นอกจากนี้ วิธีการนี้ยังสามารถทำให้เกษตรกร มีวิธีการในการกำจัดศัตรูพืชได้แบบตามธรรมชาติ อย่างบรรดานกและสัตว์ขนาดเล็ก ที่จะมากินแมลงที่รบกวนต้นกาแฟโดยอัตโนมัติ
ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น การที่ปลูกกาแฟในร่ม และทำการเพิ่มปริมาณการปลูกขึ้น เป็นการกระตุ้นให้มีการตัดไม้ทำลายป่าน้อยลง เนื่องจากไม่ต้องถางพื้นที่ใหม่ เพื่อใช้ในการเกษตรอีกต่อไป การมีพืชในปริมาณที่มากขึ้น สามารถที่จะกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากขึ้น และการปลูกพืชในพื้นที่เดียวกัน ก็ทำให้ใช้สารเคมีน้อยลงด้วย
สำหรับในเรื่องของการโพรเซส การจัดการที่เหมาะสม อย่างการนำสิ่งที่สามารถรีไซเคิลได้มารีไซเคิล ที่น่าจะเห็นได้ชัดที่สุดคือน้ำ และเปลือกของเชอรี่ เหล่านี้สามารถนำกลับมาใช้ไม่ได้ จากเดิม หากใช้น้ำเสร็จแล้วจะนำน้ำเหล่านั้นไปทิ้ง ก็เปลี่ยนมานำน้ำนั้นมาบำบัดเสียก่อน หากบำบัดอย่างถูกวิธี จะสามารถนำน้ำเหล่านี้กลับมาใช้กับต้นกาแฟ หรืออาจปล่อยคืนสู่ธรรมชาติได้โดยไม่ส่งผลเสีย ในทำนองเดียวกัน เปลือกของเชอรี่ สามารถที่จะนำกลับมาใช้เป็นเชื้อเพลิงชีวภาพได้ หรืออาจนำมาเป็นปุ๋ยอินทรีย์ได้ด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ผลิตหลายราย (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบรรดาเกษตรกรรายย่อย) การที่จะทำแบบนั้นได้ จำเป็นที่จะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก และเป็นอะไรที่ต้องมองระยะยาว อาจจะไม่ได้ผลตอบแทนมาในทันที อย่างหากนำแนวทางเกษตรอินทรีย์ที่มีความยั่งยืนมาใช้ แน่นอนว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในทันทีก็คือ ผลผลิตที่ได้จะน้อยลง ซึ่งหมายความว่า บรรดาเกษตรกรก็จะได้รายได้ไม่มากเท่าเดิม
ด้วยเหตุนี้ ท้ายที่สุดแล้วก็เลยต้องกลับมามองที่บรรดาบริษัทกาแฟรายใหญ่ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบันบริษัทรายใหญ่เหล่านี้ก็ได้มีแนวทางบางอย่างเช่นกัน อย่างสิ่งที่เรียกว่า carbon offsetting
Carbon offsetting หรือก็คือ การทำกิจกรรมเพื่อชดเชยคาร์บอนขององค์กร ผลิตภัณฑ์ หรืออาจเป็นการจัดงานประชุมอีเวนต์หรือบุคคล เกี่ยวกับวาระในเรื่องของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การทำกิจกรรมชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือหากเรียกว่า การซื้อคาร์บอนเครดิต เพื่อมาชดเชยกับปริมาณของคาร์บอนที่ต้องปล่อยออกมาในกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร
อย่างที่บอกไป ว่าท้ายที่สุดแล้ว ถึงแม้ว่าจะนำแนวทางการทำการเกษตรอย่างยั่งยืนมาใช้ในไร่กาแฟ แต่หากมองในภาพใหญ่ เราก็ไม่อาจที่จะหามาตรฐาน ซึ่งเป็นค่ากลาง ที่ควรปฏิบัติจริง ดังนั้นในเรื่องของการรับรอง ให้มีการกำหนดมาตรฐานที่ตรงกันจึงเป็นสิ่งสำคัญมากเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น อาจจะมีใบรับรองการทำเกษตรอินทรีย์ ที่จำเป็นต้องมีกฎระเบียบเข้มงวดสำหรับเกษตรกร (ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของสารเคมี ที่จะใช้ในไร่)
และหากจะสามารถรับรองไร่กาแฟ หรือเกษตรกรผู้ผลิตกาแฟได้ แน่นอนว่าบรรดาผู้ผลิตก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แบบนี้เกษตรกรรายย่อยก็น่าจะลำบากไม่น้อย สุดท้ายแล้ว ก็กลับมาที่ผู้บริโภค คำถามที่สำคัญที่จำเป็นจะต้องถามคือ ผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายราคาแพงขึ้น เพื่อสามารถที่จะรับรองกาแฟที่มีความยั่งยืนมากขึ้นได้ขนาดไหน
ยกตัวอย่างเช่น การใช้ถุงที่สามารถย่อยสลายได้ หรือแม้แต่การปลูกกาแฟในที่ร่ม แน่นอนว่าบรรดาเกษตรกร จำเป็นที่จะต้องใช้เงินมากขึ้นในการปฏิบัติ ตามแนวทางเกษตรอินทรีย์เหล่านี้ นั่นหมายความว่า ลูกค้าซึ่งอยู่ปลายทาง จำเป็นที่จะต้องจ่ายในราคาที่แพงขึ้น คำถามก็คือ เราพร้อมจ่ายหรือไม่ และพร้อมจ่ายได้มากน้อยขนาดไหน
แม้ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ จะมีการเปลี่ยนแปลง เกี่ยวกับแนวทางการผลิตกาแฟอย่างยั่งยืน โดยมีการนำมาใช้กันมากขึ้น เเต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาต่อไปอีกมาก ทั้งในเรื่องของกฎหมาย การลงทุน หรือการให้ผู้คนมาตระหนักรู้ และต้องการที่จะแก้ปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ที่มีความเกี่ยวข้องในกระบวนการผลิตกาแฟมากขึ้น แต่สิ่งที่ตามมาที่ไม่สามารถจะมองข้ามได้ คือเรื่องของเงิน ที่เป็นเรื่องยากและคุยกันลำบาก หากเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ก็ไม่น่าจะมีปัญหามากนัก แต่ในอุตสาหกรรมกาแฟ ส่วนใหญ่ผู้ที่ผลิตกาแฟจะเป็นบรรดาเกษตรกรรายย่อย แน่นอนว่าเรื่องเงินเป็นเรื่องใหญ่ และน่ากังวลอย่างยิ่ง

แต่ในท้ายที่สุดแล้ว มีแนวโน้มแสดงสัญญาณที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งเรื่องของปัจจัยอย่างผู้คน ที่หันมาตระหนักรู้มากยิ่งขึ้น และอีกปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ อย่างการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผลักดันให้เราจำเป็นที่จะต้องรีบเปลี่ยนแปลงกันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจำเป็นที่จะต้องผลักดันกันมากขึ้นกว่านี้อีก นอกจากมีบางเรื่องที่เราไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีบางเรื่องที่เรายังพอจะสามารถป้องกันได้อยู่