เทคโนโลยี กับ กาแฟ

เทคโนโลยี นับว่ามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรม กาแฟ มายาวนานกว่าหลายทศวรรษไหนแล้ว ทั้งผู้ผลิต ผู้ค้า โรสเตอร์ บาริสต้า หรือแม้แต่ผู้บริโภคเอง ต่างก็ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า เทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญ ในการพัฒนาในอุตสาหกรรมกาแฟทุกภาคส่วน

ในระดับของฟาร์ม หรือไร่กาแฟนั้น มีการใช้เทคโนโลยี เพื่อใช้ในการสนับสนุนการผลิตกาแฟมาตั้งแต่กลางช่วงศตวรรษที่ 20 อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ในตอนนั้นเป็นต้นมา เทคโนโลยีต่างๆ ก็ได้มีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ได้มีการนำระบบอัตโนมัติมากมายมาใช้ และมีอุปกรณ์ ที่ช่วยให้การทำงานง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก

Mundo Novo Coffee

ในปัจจุบันนี้เอง เราได้เห็นการมุ่งเน้นการใช้ เทคโนโลยี เพื่อใช้สำหรับแก้ปัญหาจำนวนหนึ่ง ที่ในกระบวนการผลิต กาแฟ ต้องเจอ ทั้งนี้รวมถึงในเรื่องของการทดแทนคุณภาพ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และรักษาไว้ซึ่งคุณภาพของกาแฟให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

และวันนี้ เราจะมาทำความเข้าใจกันในเรื่องของ เทคโนโลยี กับการส่งผลต่อการผลิตกาแฟในอนาคต อย่างที่บอกไปว่า ในอดีตได้มีการใช้เทคโนโลยีในกระบวนการผลิตกาแฟ หรือเทพจะทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมกาแฟมานานแล้ว แต่เราจะทำอะไรได้อีก เทคโนโลยีจะสามารถพัฒนา และนำมาใช้ในอุตสาหกรรมนี้ได้มากขนาดไหน เพื่อให้สอดรับกับอุตสาหกรรมกาแฟอย่างยั่งยืน

เทคโนโลยีที่เราจะหยิบยกมาชวนคุยกันในวันนี้ เป็นเทคโนโลยี ที่ Sucafina ซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิต โรงคั่วกาแฟ และขายกาแฟอย่างครบวงจร

เทคโนโลยี กับเรื่องของการตรวจสอบย้อนหลัง

หากเราจะกล่าวถึงในเรื่องของ ความยั่งยืนในอุตสาหกรรมกาแฟ เรื่องที่จะพ่วงติดมาด้วย ที่เราจำเป็นจะต้องรู้ คือเรื่องของความโปร่งใส และการตรวจสอบย้อนหลัง ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่มีประเด็นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก

โดยพื้นฐานแล้ว แนวคิดเหล่านี้ครอบคลุมไปถึงเรื่องของการได้รับข้อมูลในระดับการผลิต ที่เป็นข้อมูลเชิงลึกเอามาก ๆ ยกตัวอย่างเช่น หากเราซื้อกาแฟ 1 ถุง ทางผู้ผลิตกาแฟจะได้รายได้เท่าไหร่จากการซื้อกาแฟของเรา และไม่ใช่แค่เรื่องของพื้นที่ปลูกกาแฟ แต่บางคนยังจำเป็นต้องรู้ด้วยว่า กาแฟที่เราดื่มอยู่นี่มาจากไร่กาแฟไหน

เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ที่ได้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อปรับปรุงในเรื่องของความโปร่งใส และสามารถที่จะให้เราตรวจสอบย้อนหลังในกระบวนการผลิตได้อย่างง่ายดายมากขึ้น ตัวอย่างที่มีความโดดเด่นและเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดตัวอย่างหนึ่งคือ เทคโนโลยี blockchain ทั้งที่สามารถที่จะเก็บข้อมูลตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิต ในระบบเครือข่ายแบบที่ทุกคนสามารถดูได้เหมือนกัน ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกาแฟทั้งหมด จะสามารถเข้ามาตรวจสอบ และดูข้อมูลย้อนหลังเกี่ยวกับการผลิตกาแฟนี้ได้ แต่ไม่สามารถที่จะแก้ไข หรือทำการลบข้อมูลเหล่านี้ได้ นั่นทำให้ข้อมูลเหล่านี้มีความปลอดภัยที่สูงเอามาก ๆ

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจน มีซอฟต์แวร์ตัวหนึ่ง ที่ได้ถูกนำมาใช้ในกระบวนการผลิตกาแฟ ชื่อว่า Cropin ของ Sucafina ซึ่งช่วยให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังกาแฟได้มากขึ้น โดยเจ้าหน้าที่จะทำการลงทะเบียนเกษตรกรในซอฟต์แวร์ Cropin รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับฟาร์ม ที่ตั้ง ประเภทของพันธุ์กาแฟที่ปลูก ใบรับรอง และประวัติการผลิต รวมถึงรายละเอียดย่อยอื่น ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องป้อนเข้าสู่ระบบทั้งหมด

ซอฟต์แวร์นี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นฐานข้อมูลกลาง เพื่อที่จะได้สามารถตรวจสอบย้อนกลับไปยังแต่ละฟาร์ม แต่ละสถานีการโพรเซส แต่ละโกดัง หรือแม้แต่แต่ละแหล่งซื้อกาแฟได้อย่างง่ายมากขึ้น นอกจากนี้แล้ว ซอฟต์แวร์นี้ยังได้ทำการบันทึกข้อมูลทางธุรกรรมต่าง ๆ เช่น ปริมาณกาแฟที่ขายได้ ราคากาแฟต่อกิโลกรัม และหมายเลขแบทช์ ดังนั้นจึงสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ มาทำการปรับปรุงในเรื่องของการเงิน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเอื้อประโยชน์ให้เกษตรกรได้เป็นอย่างมาก

ข้อมูลเหล่านี้จะถูกเก็บไว้ เพื่อสร้างบันทึกอัตโนมัติ และเป็นประวัติทางการเงินของเหล่าเกษตรกร ทั้งนี้ก็ช่วยในเรื่องของสามารถทำให้เกษตรกรสามารถที่จะกู้เงิน หรือทำธุรกรรมทางการเงินได้ในอนาคตด้วย นอกจากนี้ยังสามารถเอื้อประโยชน์ให้เกษตรกรได้มากกว่านั้น ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น องค์กร RWACOF (Sucafina Rwanda) เอง ซึ่งเป็นเจ้าของซอฟต์แวร์ตัวนี้ ได้ทำการรับซื้อผลเชอร์รี่จากเกษตรกร เพื่อที่จะได้นำไปโพรเซสต่อไป เกษตรกรก็กู้เงินจากที่นี่ เมื่อเกษตรกรนำผลเชอรี่เหล่านี้มาขาย จะแบ่งเงินส่วนหนึ่ง ไปทำการชำระหนี้ของเกษตรกรเหล่านั้นเลยอัตโนมัติ

การขนส่งและการวิเคราะห์ตลาด

ในเรื่องของการค้าและเรื่องของการส่งออกกาแฟ เป็นเรื่องที่มีความยุ่งยากซับซ้อน มีปัญหาหลายอย่างที่ในภาคส่วนนี้ต้องเผชิญ อย่างในเรื่องของปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์สำหรับขนส่ง และราคาค่าขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี

มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ที่น่าสนใจ ที่สามารถที่จะจัดการในเรื่องของการติดตาม และการจัดส่งกาแฟได้อย่างแม่นยำ ตลอดจนสามารถที่จะอัปเดตข้อมูลการจัดส่งระหว่างผู้ดำเนินการ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการซื้อขายได้ง่ายมากขึ้นด้วย มีการออกแบบ และคิดค้นตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งอัจฉริยะ ซึ่งรวมเรื่องของการขนส่ง เข้ากับเทคโนโลยี Internat of Things (IoT) เพื่อที่จะสามารถส่งข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ และมีการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว และเงื่อนไขของสินค้า ณ จุดใดจุดหนึ่ง

และก็เช่นเดียวกับในเรื่องแรก เทคโนโลยีนี้ยังสามารถที่จะใช้ในการตรวจสอบย้อนกลับ และปรับปรุงในเรื่องของความโปร่งใสได้ด้วย ด้วยการที่สามารถตรวจสอบเส้นทาง หรือเงื่อนไขว่าเป็นไปตามที่ตกลงกันหรือไม่ ซึ่งเหล่านี้อาจส่งผลต่อกาแฟได้ด้วย อย่างน้อยการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ก็ลดความเสี่ยงไปได้มาก

Sucafina ได้ทำการสร้างแพลตฟอร์มใหม่ Cargoo ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่จะอำนวยความสะดวกในการสื่อสาร เกี่ยวกับการขนส่งเฉพาะ ระหว่างผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการซื้อขาย อินเตอร์เฟซผู้ใช้เหล่านี้ ก็จะสามารถรวมข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับการจัดส่ง ทำให้ตัดปัญหาในเรื่องของความวุ่นวายในการสื่อสารและการติดตามไปได้ ในการจัดส่งกาแฟแต่ละครั้ง สามารถที่จะทำให้กระบวนการสื่อสารทั้งหมดคล่องตัวมากขึ้น ตั้งแต่ผู้ส่งออกไปยังลูกค้า ในส่วนของการส่งออกกาแฟนั้น

โดยปกติจำเป็นที่จะต้องมีเอกสารจำนวนมาก กระบวนการเหล่านี้อาจจะต้องใช้เวลานาน และใช้แรงงานคนจำนวนมาก แพลตฟอร์มนี้ก็มาทำหน้าที่รถทั้งแรงงานคน และสามารถลดกระบวนการที่ต้องใช้เอกสารได้มากเลยทีเดียว มีการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาช่วยในกระบวนการนี้ โดยจะทำการวิเคราะห์และจัดเก็บข้อมูลอัตโนมัติ ทำให้สามารถลดปัญหาเอกสารที่เกินจำเป็น และลดจำนวนคนที่ต้องใช้ในแต่ละภาคส่วนงานด้วย ซึ่งการที่สามารถทำให้ระบบเหล่านี้เป็นไปได้โดยอัตโนมัติ ก็จะสามารถจัดสรรงานอื่น ๆ ให้กับพนักงานได้ ทั้งช่วยประหยัดเวลา และประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้นในแง่ของผู้ผลิต

อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจ คือในอุตสาหกรรมกาแฟนี้ มีเรื่องของความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างสูง ที่กล่าวนี้คือในแง่ของกระบวนการการผลิต ซึ่งจะส่งผลต่อราคาของกาแฟอย่างแน่นอน โดยทั่วไปแล้ว จะต้องมีการติดตามในเรื่องของความผันผวนเหล่านี้อย่างจริงจัง แต่หากเราหันมาใช้ซอฟต์แวร์ในการวิเคราะห์ เราจะสามารถประเมินข่าว หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะส่งผลต่อตลาดกาแฟทั่วโลกได้ ซึ่ง Sucafina กำลังทดลองใช้ซอฟต์แวร์เพื่อทำการวิเคราะห์นี้อยู่

Ethiopian Variety

การวัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในกระบวนการผลิตกาแฟ

หนึ่งเรื่องซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกาแฟเป็นอย่างมาก คือเรื่องของปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอันเกิดจากการปลูกกาแฟ ดังนั้น แนวทางของอุตสาหกรรมกาแฟนี่คือ ความต้องการที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ให้ได้มากขึ้น ซึ่งกำลังกลายเป็นจุดสนใจ ที่เพิ่มขึ้นในหมู่ผู้บริโภคจำนวนมาก

เทคโนโลยีใหม่ ๆ หลายอย่างสามารถที่จะนำมาใช้ เพื่อที่จะทำการติดตาม และวัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการผลิตกาแฟได้ด้วย ตัวอย่างหนึ่งที่ถูกหยิบมาใช้คือ เทคโนโลยีการติดตามด้วยดาวเทียม ซึ่งจะทำการประเมินในเรื่องของการตัดไม้ทำลายป่า ในตลอดกระบวนการผลิตกาแฟ

ท่ามกลางปัญหาสิ่งแวดล้อมมากมายในภาคส่วนของกาแฟนั้น มีช่องว่างด้านความรู้ที่มีความสำคัญเกี่ยวกับการตัดไม้ทำลายป่าในกระบวนการผลิตอยู่ นั่นหมายความว่า การติดตามในเรื่องของการตัดไม้ทำลายป่า หากทำการติดตามข้อมูลกันเองนั่นจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เนื่องจากจะมีปัญหาการรวบรวมข้อมูลที่ค่อนข้างช้า และการติดตามข้อมูลเหล่านี้ก็มีค่าใช้จ่ายสูงด้วย

ดังนั้น Sucafina จึงได้ทำการร่วมมือกับบริษัทติดตามดาวเทียม Trade in Space (TIS) และ Global Risk Assessment Services (GRAS) เพื่อที่จะสามารถที่จะระบุตำแหน่ง ที่เกิดการตัดไม้ทำลายป่าอันเกิดจากกระบวนการผลิตกาแฟทั่วโลก ทั้งนี้ในการตัดไม้ทำลายป่าที่สามารถระบุได้ จะเป็นแหล่งการทำลายป่าขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถที่จะระบุได้อย่างแม่นยำด้วยเทคโนโลยีดาวเทียม โดยจะทำการติดตามการเปลี่ยนแปลงของต้นไม้ที่ปกคลุมอยู่ ว่ามีการลดลงหรือเพิ่มขึ้นหรือไม่

วิธีการทำงานของเทคโนโลยีการสำรวจระยะไกลนี้คือ จะทำการตรวจสอบพื้นที่หนึ่ง ทั้งในส่วนของพื้นที่ที่เป็นที่ดินโล่ง และเป็นพื้นที่ป่าไม้ และคอยดูว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการใช้พื้นที่เหล่านั้นแค่ไหน อีกทั้งยังสามารถที่จะเข้าถึงพื้นที่ขนาดใหญ่มาก ๆ ได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งบางพื้นที่ที่ยากต่อการเข้าถึง ก็ยังสามารถเข้าถึงได้

และด้วยในปัจจุบันนี้ มีปัจจัยหนึ่งที่เอื้อต่อการใช้เทคโนโลยีนี้มาก มีดาวเทียมหลายดวงโคจรอยู่ในวงโคจรโลก ดังนั้นข้อมูลจึงมีอยู่มากมายมหาศาล ยิ่งในปัจจุบัน ข้อมูลเหล่านี้มีมากกว่าในอดีตกว่าที่เคยเป็นมามาก ดังนั้นจึงสามารถดู รูปภาพของพื้นที่ใด ๆ ที่เราต้องการได้ทันทีจากแหล่งข้อมูลที่เป็นแหล่งข้อมูลแบบเปิด

จากข้อมูลที่ทำการสำรวจพบว่า แทบจะทุกแหล่งที่มีการผลิตกาแฟ จะมีการตัดไม้ทำลายป่าเกิดขึ้น แต่สิ่งที่เราควรรู้เลยก็คือ การผลิตกาแฟนั้นไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนใหญ่ที่สุด ที่ทำให้ต้องตัดไม้ทำลายป่า มันห่างไกลมากเลยทีเดียว ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดไม้ทำลายป่ามากขึ้น และเป็นปัจจัยที่ใหญ่กว่า จะเป็นเรื่องของการเติบโตของประชากร ซึ่งส่งผลให้ต้องมีการผลิตอาหารเพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น เหล่านี้เองทำให้เพิ่มอัตราการตัดไม้ทำลายป่ามากขึ้น ในพื้นที่การปลูกกาแฟ

การปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

เนื่องจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนสำหรับบรรดาเกษตรกร และผู้ปลูกกาแฟ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องทำการปรับปรุง และทำการเพิ่มความยืดหยุ่นของต้นกาแฟมากขึ้น จากการวิจัยชี้ให้เห็นว่า พื้นที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการผลิตกาแฟในประเทศ ที่เป็นประเทศชั้นนำในการปลูกกาแฟของโลกนั้น ในอีกประมาณ 30 ปีข้างหน้า จะลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจมากเลยทีเดียว

เราไม่สามารถยุติเหตุการณ์นี้ได้ ที่ทำได้คือเพียงแค่การบรรเทาผลกระทบ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนี้ และในอุตสาหกรรมกาแฟก็สามารถที่จะบรรเทาได้ เพื่อที่จะสามารถปรับตัวให้อยู่ได้ ในการเปลี่ยนแปลงที่ฉับพลันนี้ การปลูกกาแฟในแลป หรือทำการเพาะในห้องปฏิบัติการ เป็นอีกวิธีการหนึ่ง ที่ในอุตสาหกรรมสามารถที่จะใช้ เพื่อทำการปรับปรุงกาแฟให้เข้ากันได้กับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

วิธีการก็ตรงตามชื่อ นั่นก็คือการนำกาแฟไปปลูกในแลป หรือในห้องปฏิบัติการแบบจริงจัง จากนั้นอาจจะนำกาแฟนั้นเข้าไปปลูกในไร่ก็ได้

มีเทคโนโลยีหลายอย่าง ที่นำมาใช้ในการผลิตกาแฟในห้องปฏิบัติการเหล่านี้ ซึ่งอาจมีบ้างเทคโนโลยีที่ไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตกาแฟแม้แต่นิดเดียวเลย กระบวนการแรกเรียกว่า กระบวนการ molecular method โดยจะใช้พืชผลทางการเกษตรอื่น สำหรับในการผลิตกาแฟ ยกตัวอย่างเช่น อาจใช้เมล็ดอินทผลัมในการผลิตกาแฟ เพื่อที่จะทำการเลียนแบบสารประกอบ และรสชาติให้มีความคล้ายกับกาแฟมากที่สุด เป็นเหมือนเครื่องดื่มทางเลือกที่ไม่ได้มีการใช้เมล็ดกาแฟจริงเลยแม้แต่น้อย

อีกวิธีการที่น่าสนใจ เรียกว่าวิธีการ microbial method ซึ่งจะใช้จุลินทรีย์ในการดัดแปลงพันธุกรรมของต้นกาแฟ เพื่อทำการผลิตสารแต่งกลิ่นและรสชาติของต้นกาแฟ หรืออีกวิธีการหนึ่ง cellular method ซึ่งจะใช้เส้นกาแฟ ทำการเพาะในเครื่องปฏิกรณ์ชีวภาพ จากนั้นเซลล์เหล่านี้ก็จะทำการแปรรูป เป็นสารที่มีลักษณะเป็นผม ซึ่งสามารถนำไปต้ม และดื่มในลักษณะเดียวกับกาแฟได้ จะมีความคล้ายกับกาแฟบด

แม้ว่าการปลูกกาแฟในห้องปฏิบัติการ จะมีประโยชน์มากมาย หลายฝ่ายก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่า จำเป็นที่จะต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม เพื่อที่จะทำให้กาแฟเหล่านี้สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในอุตสาหกรรม

ข้อดีของกาแฟที่เพาะในแลป คือจะไม่เกิดการตัดไม้ทำลายป่าอย่างแน่นอน และจะใช้น้ำในกระบวนการผลิตน้อยลงเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังไม่ได้มีตัวเลขที่แน่ชัด ที่บ่งบอกว่าจะลดอัตราการใช้น้ำ หรือลดอัตราการตัดไม้ทำลายป่ามากเท่าไหร่ แต่ที่รู้แน่นอนก็คือ สิ่งนี้ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างมาก แต่ก็ส่งผลกระทบต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยเฉพาะเกษตรกร เนื่องจากมีผู้คนนับล้าน ที่พึ่งพาการผลิตกาแฟเพื่อเป็นรายได้หลักของครอบครัว

การควบคุมคุณภาพ

ประเด็นสำคัญต่อไป จะเป็นประเด็นที่มีความสำคัญในภาคการผลิตกาแฟพิเศษ หรือบรรดากาแฟสเปเชียลตี้ทั้งหลาย คือเรื่องของการปรับปรุงคุณภาพกาแฟ ทั้งนี้ไม่ใช่ในแง่ของรสชาติ และผลผลิตในลำดับสุดท้ายเพียงเท่านั้น แต่เพื่อที่จะสามารถให้เกษตรกรสามารถได้รับราคาที่สูงขึ้นได้ในระยะยาว ซึ่งเป็นเวลากว่าหลายปีแล้ว ที่ได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคส่วนนี้

 มีการใช้ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อที่จะสามารถกำหนดคะแนน และทำการคัพปิ้งกาแฟได้ด้วยตนเอง มีการกำหนดรายละเอียดรสชาติ รวมถึงปริมาณความชื้น และความหนาแน่นของตัวอย่างสารกาแฟที่กำหนดได้ เทคโนโลยีนี้จะทำงาน โดยการจับคู่ mucular signature ของกาแฟ นั่นคือระดับสารประกอบทางเคมี เช่นพวกโปรตีน กรดอะมิโน น้ำตาล และอื่น ๆ ในกรีนบีน เพื่อที่จะสามารถนำมาวิเคราะห์ และอนุมานถึงรสชาติและกลิ่นที่อาจพบได้ เมื่อนำกาแฟนั้นไปผ่านการคั่วและการชงแล้ว

นอกจากจะทำให้กระบวนการการประเมินคุณภาพของเมล็ดกาแฟง่ายขึ้นมากแล้ว เทคโนโลยีดังกล่าว ยังสามารถที่จะให้คะแนน หรือทำการคัพปิ้งตามวัตถุประสงค์มากขึ้นสำหรับผู้ผลิตได้ ดังนั้นผู้ที่ซื้อกรีนบีน หรือแม้แต่โรสเตอร์เอง จึงสามารถที่จะปรับปรุงคุณภาพ และความสม่ำเสมอในกาแฟได้

พออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนน่าจะคิดว่า การให้ปัญญาประดิษฐ์มากำหนด ว่ากาแฟรสชาติไหนถึงเรียกว่ากาแฟคุณภาพ น่าจะไม่แฟร์เท่าไหร่นัก เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความชอบ หรือความไม่ชอบส่วนบุคคล ไม่สามารถนำมาวัดได้ แต่บางคนกล่าวว่า สิ่งนี้จำเป็นที่จะต้องมีมาตรฐานอยู่เหมือนกัน

Biodynamic Coffee Farm

อย่างน้อยการนำปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้มาใช้ ก็สามารถที่จะเข้าถึงข้อมูลในอดีต ว่าผู้คน (เคย) ชื่นชอบรสชาติแบบไหน แล้วจึงสามารถนำมาปรับปรุงรสชาติในปัจจุบันได้ ซึ่งจะมีความเป็นกลางมากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว ส่วนที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบนั่นเอง

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เทคโนโลยีสามารถนำมาช่วยในถังตลอดห่วงโซ่การผลิตกาแฟได้ และค่อนข้างสอดรับกับแนวคิดการผลิตกาแฟอย่างยั่งยืนมาก เราสามารถที่จะตรวจสอบความโปร่งใส หรือสามารถที่จะตรวจสอบย้อนหลังได้ด้วย ทำให้แน่ใจว่า จะไม่มีในภาคส่วนใดก็ตามที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ถึงแม้เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้นานแล้ว แต่ก็จะมีการพัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ และจะมีเทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีแนวโน้มว่าเทคโนโลยีนี้จะยุติลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและน่าสนใจ

สุดท้ายที่สุดแล้ว เป็นที่ชัดเจนว่า เทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของทั้งอุตสาหกรรมกาแฟต่อไป แต่จะเป็นยังไงนั้น เราก็คงต้องรอดูกันต่อไป เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้น เราน่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมกาแฟในหลายด้านมากยิ่งขึ้น และก็หวังว่า เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านี้ จะเป็นประโยชน์กับเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟทั่วโลก