กาแฟ Hybrid จัดว่าเป็นกาแฟที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพสูงเป็นอย่างมาก กาแฟเหล่านี้มีลักษณะต้านทานการเกิดโรคสนิมในใบ และให้ผลผลิตที่ค่อนข้างสูง แต่สิ่งนี้คืออะไรกันแน่ และมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมกาแฟอย่างไร การมาถึงของกาแฟ Hybrid เหล่านี้ เท่ากับว่า กาแฟที่เรารู้จักอย่าง Bourbon หรือ Typica จะหายไปหรือไม่ บางคนก็บอกว่า กาแฟ Hybrid เป็นกาแฟที่จะมาแก้ไขวิกฤตกาแฟโลกครั้งใหญ่ ก่อนที่จะไปทำความรู้จักกาแฟเหล่านี้ เรามาพูดถึงภาพรวมแบบเร็ว ๆ ของสายพันธุ์กาแฟต่าง ๆ กันก่อนดีกว่า

Coffee Species
ก่อนที่เราจะไปดูเกี่ยวกับกาแฟ Hybrid เรามาดูกันก่อนว่า กาแฟในโลกนี้มีสายพันธุ์ (species) และพันธุ์ (variety) อะไรกันบ้าง กาแฟทั่วโลกนั้นมีอยู่ด้วยกันมากกว่า 100 สปีชีส์ แต่อย่างที่เรารู้กันว่า กาแฟที่เราดื่มกันอยู่ทั่วไป หรือที่ใช้เสิร์ฟกันในร้านกาแฟ หรือวางขายตามซุปเปอร์มาร์เก็ตต่าง ๆ ก็คงจะหนีไม่พ้นกาแฟโรบัสต้า อาราบิก้า หรือกาแฟเบลนด์จากทั้งสองนี้เพียงเท่านั้น
อาราบิก้าเป็นสายพันธุ์กาแฟที่นิยมบริโภคกันมากที่สุดในโลก อาราบิก้านั้นจะขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติและกลิ่นที่มีคุณภาพ แต่ก็เป็นสายพันธุ์ที่ค่อนข้างเปราะบาง มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคและแมลงศัตรูพืชได้มาก ในทางกลับกันนั้น กาแฟโรบัสต้ามีความแข็งแรงกว่า และทนต่อสิ่งต่าง ๆ ได้มากกว่า นอกจากนี้ ยังมีปริมาณคาเฟอีนที่สูงกว่าด้วย อย่างไรก็ตาม หากจะกล่าวถึงเรื่องของความขมอันเป็นเอกลักษณ์ของการดื่มกาแฟ โรบัสต้าก็ยังคงมีความขมกว่าอาราบิก้าอยู่ดี (แม้ว่าจะมีการให้กำเนิดกาแฟ light robusta ในอุตสาหกรรมกาแฟเฉพาะทางก็ตาม)
กาแฟอาราบิก้า นับว่าครอบครองอุตสาหกรรมกาแฟชนิดพิเศษเกือบจะทั้งหมด ซึ่งอาราบิก้าที่ว่า คือ species หรือสายพันธุ์กาแฟ จะแบ่งออกเป็นกาแฟ variety หรือพันธุ์ต่าง ๆ มากมาย ทั้งนี้ก็จะมีโปรไฟล์รสชาติที่แตกต่างกัน ความแข็งแรงต่อทั้งสภาพอากาศ การเกิดโรค และศัตรูพืชที่แตกต่างกัน ผลผลิตที่ได้แตกต่างกัน และสภาพแวดล้อมที่สามารถเติบโตได้ดีนั้นแตกต่างกันด้วย
Coffee Variety และปัญหาด้านความหลากหลาย
ถึงแม้เราจะมีโอกาสได้ดื่มกาแฟอาราบิก้าหลากหลายตัว แต่ก็ยังเรียกได้ว่า กาแฟอาราบิก้าขาดความหลากหลายอยู่ หมายความว่าอย่างไร หมายความว่า ถึงแม้ว่าเราจะพบเห็นกาแฟหลากหลายพันธุ์ก็ตาม แต่กาแฟอาราบิก้าเหล่านี้มีความแปรปรวนทางพันธุกรรมอยู่ คือ กาแฟเหล่านี้มีความคล้ายคลึงกันทางพันธุกรรมอยู่ที่ประมาณ 98.8 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วงมาก แล้วตัวเลขนี้น่ากังวลแค่ไหน ยกตัวอย่างง่าย ๆ ถั่วเหลืองและข้าว มีความคล้ายคลึงกันทางพันธุกรรมอยู่เพียงแค่ 70-80 เปอร์เซ็นต์ หากมองเป็นตัวเลขแบบนี้แล้ว กาแฟอาราบิก้ามีปัญหาเรื่องความหลากหลายมาก
ดังนั้น หากกาแฟพันธุ์หนึ่ง มีความอ่อนไหว หรือเกิดโรคสนิมในใบ ก็อาจเป็นไปได้ว่า กาแฟพันธุ์อื่นซึ่งมีความใกล้เคียงกันทางพันธุกรรม จะเกิดโรคสนิมในใบได้ง่ายขึ้นด้วย ด้วยเหตุนี้เอง กาแฟอาราบิก้าที่ค่อนข้างมีความทนทานสูงต่อโรคสนิมในใบอย่าง Catimor ที่เป็นลูกผสมของกาแฟ Caturra และ Timor Hybrid ซึ่งเป็นลูกผสมของอาราบิก้าและโรบัสต้า เนื่องจากอย่างที่บอกว่า กาแฟโรบัสต้านั้นมีความแข็งแรงทนทาน มีความหลากหลายมากกว่า และมีความต้านทานต่อโรคสนิมในใบสูงกว่า
และเนื่องจากผลกระทบของปัญหาสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน และยิ่งจะเป็นมากขึ้นในอนาคต หากไม่มีการแก้ไขปัญหา หรือดำเนินการใด ๆ เลย เราอาจเห็นการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของอาราบิก้าอย่างช้า ๆ และอุตสาหกรรมกาแฟของเราน่าจะไปต่อลำบาก

ทำไมกาแฟอาราบิก้าจึงขาดความหลากหลาย
เอธิโอเปียซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของกาแฟอาราบิก้ามากที่สุดในโลก เมื่อปี 2016 Kew Gardens ได้มีการระบุว่า ประเทศเอธิโอเปียถือครองทรัพยากรพันธุกรรมกาแฟสูงมาก อยู่ที่ 95 เปอร์เซ็นต์ของกาแฟทั้งหมด กาแฟหลายพันธุ์ที่เราคุ้นเคยกันเหล่านี้ เติบโตตามธรรมชาติในป่าของเอธิโอเปีย ทุกวันนี้ก็ยังมีการนำกาแฟป่าพื้นถิ่นของเอธิโอเปียมาใช้ (Heirloom)
หากลองสังเกตดูกาแฟเอธิโอเปียบางถุงที่คุณเลือกนำมาดื่ม อาจมีคำว่า “Ethiopian Heirloom” ซึ่งหมายความว่า กาแฟเหล่านั้นเติบโตในป่า หรือพื้นที่ที่มีการปลูกกาแฟในปริมาณเล็กน้อยเพียงเท่านั้น นอกจากนี้แล้ว เรายังจะพบกาแฟพื้นเมืองเอธิโอเปียแท้ ๆ ซึ่งเป็นกาแฟชื่อดังอย่าง Gesha/Geisha ด้วยรสชาติที่มีความละเอียดอ่อน ทำให้ Gesha มีราคาที่สูงมาก กาแฟ Gesha นี้ก็มีพื้นเพมาจากประเทศเอธิโอเปีย ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน Gesha คุณภาพอาจเป็นของปานามาไป
กาแฟอาราบิก้าทั้งหมดที่ดื่ม และมีอยู่ในอุตสาหกรรมกาแฟ จะเป็นกาแฟพันธุ์ลูกหลานของกาแฟสองพันธุ์หลัก คือ Typica และ Bourbon ด้วยกันทั้งสิ้น
กาแฟ Hybrid กับทางออกของวิกฤตกาแฟโลก
กาแฟสายพันธุ์อาราบิก้าที่มีอยู่ด้วยกันมากมายหลากหลายพันธุ์ เกิดขึ้นได้จากทั้งการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ และฝีมือมนุษย์ ที่มีการวิจัยและจัดเตรียมสภาพแวดล้อมทางการเกษตรให้เอื้อต่อการเจริญเติบโตและกลายพันธุ์ของกาแฟ (เรียกว่า cultivar)
แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นกาแฟที่ได้รับการกลายพันธุ์โดยฝีมือมนุษย์ หรือกลายพันธุ์ขึ้นเองตามธรรมชาติ เหล่านี้ก็ยังขาดความหลากหลาย และมักเสี่ยงต่อการเกิดโรคสนิมในใบ สิ่งที่เรียกว่า F1 Hybrid จึงเกิดขึ้น เหล่านี้เป็นกาแฟที่เจริญเติบโตในแลป นักวิจัยจะทำการผสมพันธุ์กาแฟ ดึงลักษณะเด่นของกาแฟเหล่านั้นมา และสร้างกาแฟตามแบบที่ตนต้องการ
สิ่งที่น่าสนใจคือ F1 Hybrid เป็นกาแฟที่สามารถผลิตขึ้นมาได้ในระยะเวลาอันสั้น กาแฟจะทำการสืบพันธุ์ หรือขยายพันธุ์โดยไม่ได้ใช้วิธีการผสมเกสร แต่จะเป็นการสืบพันธุ์โดยใช้เซลล์ของตัวกาแฟ วิธีการนี้เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพสำหรับการปรับปรุงคุณภาพ ผลผลิต และลักษณะทางกายภาพของกาแฟให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น F1 Hybrid จะเข้ามาแก้ไขปัญหาการปลูกกาแฟในภูมิภาคที่มีการประสบปัญหาภัยแล้ง หรือปัญหาฝนตกบ่อย
โดยปกติแล้ว ลักษณะของ F1 Hybrid มักจะมีความแข็งแรง และเป็นพันธุ์กาแฟที่มีความทนทานมากกว่ากาแฟที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ที่กาแฟที่เกิดการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติจะมีความแข็งแรงและประสิทธิภาพในระดับเดียวกับกาแฟตัวนี้ ซึ่งเป็นกาแฟที่เติบโตในแลป แต่โอกาสเกิดขึ้นก็น้อยมาก และอาจจำเป็นที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะถือกำเนิดขึ้น ประสิทธิภาพที่สำคัญอีกอย่างของ F1 Hybrid คือ สามารถที่จะอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยได้ดี
แล้วเราสามารถออกแบบลักษณะทางพันธุกรรมทั้งหมดได้หรือไม่
ถึงจะบอกว่า F1 Hybrid นั้นสามารถที่จะออกแบบกาแฟที่มีลักษณะโดดเด่น และหยิบเอาข้อดีของแต่ละพันธุ์มาใช้ได้ แต่ก็ไม่สามารถออกแบบได้ตามใจนึกขนาดนั้น สิ่งที่ทำได้ ก็เพียงแค่การหยิบกาแฟพันธุ์หนึ่ง มาผสมข้ามกับอีกพันธุ์หนึ่งเพียงเท่านั้น ยังมีข้อจำกัดอยู่มาก
เมื่อปี 2017 ศูนย์วิจัย General Director of the Tropical Agricultural Research and Higher Education Center (CATIE) ร่วมกับ World Coffee Research (WCR) ได้มีโครงการในการปรับปรุงพันธุกรรมกาแฟบางพันธุ์ เพื่อให้กาแฟออกมามีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยพันธุ์ที่เลือกนำมาใช้คือ Caturra, Catuai และ CR95 ผสมกับกาแฟป่า Heirloom ในเอธิโอเปีย

ทางทีมประสบความสำเร็จในการพัฒนา F1 Hybrid กว่า 100 เคส และ 20 เคสในนั้นถูกนำมาวิจัยต่อด้วยการใช้เทคโนโลยีชีวภาพ ขั้นต่อไปคือการทำการวิจัยโดยการนำมาปลูก ซึ่งใช้เวลาและเวลาถึง 7 ปี ทั้งนี้ก็เพื่อจำกัดขอบเขต และดูว่า กาแฟ Hybrid ตัวไหนที่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะนำมาปลูกในเชิงพาณิชย์ได้ สามารถให้ผลผลิตสูง ต้านทานการเกิดโรคสนิมในใบได้ดี และเมื่อนำมาชง เป็นกาแฟที่ได้คะแนนสูงด้วย และแล้วก็ได้มา 5 ใน 20 เคสของกาแฟ Hybrid ที่มีการนำไปปลูกในอเมริกากลาง นอกจากนี้ยังมีการทดสอบนำไปปลูกในอเมริกาใต้ แอฟริกา และเอเชียด้วย
จนถึงตอนนี้ กาแฟ Hybrid ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่า สามารถที่จะให้กาแฟที่มีประสิทธิภาพได้จริง ในปี 2017 Centroamericano ซึ่งเป็นกาแฟ Hybrid ได้คะแนนมากถึง 90.5 คะแนน ในงาน Nicaraguan Cup of Excellenceซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยม และเป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับอนาคตของ F1 Hybrid กาแฟ Centroamericano ที่ว่ามานี้ เป็นลูกผสมระหว่างกาแฟพื้นถิ่นของเอธิโอเปีย Rume Sudan และกาแฟพันธุ์ที่นับว่าต้านโรคสนิมในใบได้ดีเยี่ยม T5296 นอกจากจะได้กาแฟที่มีคุณภาพสูง ผลผลิตดี ยังมีภูมิต้านทานต่อโรคที่ดีด้วย
พันธุ์กาแฟ Hybrid จะเข้ามาแทนที่พันธุ์กาแฟธรรมดาหรือไม่
จากที่กล่าวมาทั้งหมด ทำให้เรารู้ได้แน่นอนว่า กาแฟ Hybrid เป็นกาแฟที่มีคุณภาพ มีความทนทานต่อโรค และสุดท้ายแล้ว เมื่อนำมาเข้าสู่กระบวนการจนถึงขั้นสุดท้าย กลายมาเป็นกาแฟให้เราได้ดื่มนั้น จะเป็นกาแฟที่มีโปรไฟล์รสชาติที่ดี กลิ่นหอมน่าดื่ม และแน่นอนดีกว่ากาแฟพันธุ์ดั้งเดิมบางพันธุ์เสียด้วยซ้ำไป ในคอสตาริกา กาแฟ F1 Hybrid บางตัว สามารถที่จะให้ผลผลิตเป็น 2 เท่าของ Caturra และ Catuai ที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายภายในประเทศ
แต่อย่างไรก็ตาม คุณภาพของกาแฟก็ยังคงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ระดับความสูงที่ใช้ในการปลูก พื้นที่ที่เลือกปลูก และอุณหภูมิ เหล่านี้ล้วนส่งผลต่อความเร็วในการสุกของผลเชอรี่ ยิ่งผลเชอรี่สุกช้าเท่าไหร่ ก็จะมีการพัฒนารสชาติให้มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ทำให้รสชาติกาแฟที่ได้จะดียิ่งขึ้นด้วย เรื่องของดินก็มีส่วนทำให้กาแฟดีหรือไม่ดี เนื่องจากกาแฟเป็นพืชที่หาอาหารจากดินด้วย เราจะสังเกตได้ว่า กาแฟที่เติบโตในดินบางชนิด จะให้ผลผลิตที่ยอดเยี่ยมมากกว่า อย่างกาแฟที่เติบโตในดินภูเขาไฟ ซึ่งมีไนโตรเจนในปริมาณที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต
และแน่นอนว่า เมล็ดกาแฟแต่ละชนิด ก็จะเติบโตได้อย่างเหมาะสมในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น กาแฟ Centroamericano เหมาะสมที่จะเติบโตในระดับความสูงเหนือน้ำทะเล 1500 เมตร กาแฟพันธุ์อื่น ๆ ก็จะมีระดับความสูงที่เหมาะสมในการเติบโตแตกต่างกันออกไปด้วย
เรื่องของวิธีการเก็บเกี่ยว วิธีการปลูก และวิธีการโพรเซส ก็ยังมีผลที่จะทำให้กาแฟตัวนั้นดีหรือไม่ดี ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องของการโพรเซส หากผู้ผลิตเก็บผลเชอรี่สุกมาแล้วนำไปตากให้แห้งบนพื้นที่ที่มีลักษณะยกสูง กาแฟที่ได้ย่อมได้ผลต่างจากการนำผลเชอรี่สุกไปตากไว้บนพื้น หรือแม้แต่วิธีการโพรเซสเฉพาะ หรือการโพรเซสพิเศษ ที่จะทำให้กาแฟมีความแตกต่างและมีเอกลักษณ์ต่างกันออกไป อย่างการโพรเซสแบบ natural หรือ honey process ที่สามารถเน้นให้กาแฟหวานขึ้น ในขณะเดียวกัน การโพรเซสกาแฟแบบ washed กาแฟที่ได้จะมีความคลีน และความสว่างที่ยอดเยี่ยม กาแฟบางชนิดที่ปลูกในบางภูมิภาค อาจเหมาะสมกับวิธีการโพรเซสบางแบบมากกว่าแบบอื่น ๆ
ดังนั้นขอสรุปตรงนี้ว่า กาแฟ Hybrid คงไม่ได้มาแทนที่กาแฟพันธุ์ดั้งเดิม มีอีกหลายสาเหตุที่ผู้ผลิตจะไม่เลือกกาแฟ Hybrid เหล่านี้มาปลูกในไร่ของตน อีกอย่าง ผู้บริโภคมักให้ความสนใจกับกาแฟพันธุ์ต่าง ๆ ที่มีความดั้งเดิม อย่าง Gesha/Geisha, Bourbon และ Caturra เพราะหากต้องการเรียนรู้กาแฟแล้ว เหล่านี้เป็นพื้นฐานที่เราจำเป็นจะต้องรู้เสียก่อน และจะต้องหามาชิมให้ได้เสียก่อน

มาจนถึงตรงนี้แล้วก็ต้องบอกว่า ท้ายที่สุด ผู้บริโภคนี่แหละจะเป็นผู้ตัดสิน ว่าชอบเครื่องดื่มแบบไหนมากกว่า กาแฟที่ได้อาจเป็นกาแฟแบบดั้งเดิม หรือกาแฟ Hybrid และก่อนที่ผู้บริโภคจะบอกว่าชอบแบบไหนได้ การมีความรู้เพิ่มเติมในเรื่องเหล่านี้สักนิด น่าจะช่วยได้มากเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม กาแฟ F1 Hybrid เป็นอีกขั้นของอุตสาหกรรมกาแฟที่น่าตื่นเต้น เป็นการแก้ปัญหาทางการเกษตรในเรื่องของความหลากหลายที่ไม่มีมากนัก บวกกับเรื่องของสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โรคภัยต่าง ๆ ที่อยู่ในกาแฟ และเรื่องของการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของพันธุ์กาแฟ เพื่อที่จะให้เรายังคงมีกาแฟดี ๆ และกาแฟคุณภาพดื่มไปเรื่อย ๆ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ท้าทาย และทางอุตสาหกรรมก็จำเป็นต้องสู้ และต้องอยู่กับสิ่งนี้ให้ได้ ขอให้คุณมีความสุขในการดื่มกาแฟนะครับ