ประเทศเคนยาเป็นประเทศผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก และเป็นที่รู้จักในฐานะ แหล่งกำเนิดกาแฟพิเศษที่มีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก ภูมิภาคที่สามารถปลูก กาแฟเคนยา ได้ในประเทศนี้ จะมีสภาพดินที่สมบูรณ์และมีความเป็นกรด บวกกับสภาพอากาศที่เหมาะสมที่สุดในการเจริญเติบโตของกาแฟ โดยเฉพาะกาแฟชนิดพิเศษ ภูมิภาคที่เหมาะสมในการปลูกเป็นอย่างมาก อยู่ที่บริเวณที่ราบสูงตอนกลางของประเทศ
โดยทั่วไปแล้ว กาแฟเคนยา มักจะเป็นกาแฟที่มีความเป็นกรดสูง มีความเข้มข้น และบอดี้ที่หนักแน่น เรื่องของรสชาติก็มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ กาแฟพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศเคนยาได้แก่ K7, Blue Mountain, Batian, Ruiru 11 และกาแฟซีรี่ส์ SL
กาแฟซีรี่ส์ SL เป็นกาแฟที่มีการปลูกในประเทศนี้มาเกือบ 90 ปีแล้ว แม้ว่ากาแฟซีรี่ส์ SL จะมีอยู่ด้วยกันมากมายหลากหลายพันธุ์ แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นกาแฟพันธุ์ SL-28 และ SL-34
แม้ว่าในทุกวันนี้ จะมีกาแฟพันธุ์ใหม่ ๆ ที่มีความต้านทานโรคและให้ผลผลิตดีพอกัน แต่กาแฟ SL ก็ยังคงได้รับความนิยมในหมู่ผู้ผลิตกาแฟในเคนยา เนื่องจากเป็นกาแฟที่ให้ผลผลิตนานหลายปี อีกทั้งยังมีการให้ผลผลิตที่ค่อนข้างสูง และยังคงคุณภาพยอดเยี่ยมด้วย และวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกาแฟ SL-28 และ SL-34 สุดโด่งดังกันมากขึ้น ว่าด้วยเรื่องของการปลูก และรสชาติที่เราจะหาได้จากกาแฟพันธุ์นี้

SL-28 และ SL-34 คืออะไร
หากคุณเป็นคอกาแฟมือโปร คุณน่าจะเคยได้ลิ้มลองกาแฟซีรี่ส์ SL มาบ้าง โดยตัว SL ย่อมาจาก Scott Laboratories ซึ่งเป็นชื่อศูนย์วิจัยกาแฟในประเทศเคนยา ทำหน้าที่ในการพัฒนาพันธุ์กาแฟเหล่านี้ขึ้นมา ได้มีการพัฒนาพันธุ์กาแฟครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1930 ในขณะที่ World Coffee Research ได้ทำการยอมรับและขึ้นทะเบียนกาแฟซีรี่ส์ SL อย่างเป็นทางการเพียงแค่ไม่กี่พันธุ์เท่านั้น 2 พันธุ์ในนั้นคือ SL-28 และ SL-34 ซึ่งเป็นพันธุ์กาแฟที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในซีรี่ส์นี้ คาดว่ากาแฟในซีรี่ส์ SL จะมีการขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต
ถึงจะเป็นกาแฟที่ถูกพัฒนาจากประเทศเคนยาก็ตาม แต่ก็ยังคงนำมาปลูกกันภายนอกประเทศอยู่บ้างเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่น มีการปลูก SL-28 ในพื้นที่บางส่วนของละตินอเมริกา แต่ทั้ง SL-28 และ SL-34 ก็ยังสามารถพบได้ทั่วไปในประเทศเคนยา ด้วยเหตุนี้เอง กาแฟทั้งสองพันธุ์นี้จึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของกาแฟพิเศษในเคนยาไปโดยปริยาย
มีผู้ปลูกจำนวนมากที่ยกให้กาแฟพันธุ์ SL นี้เป็นกาแฟพันธุ์ที่ดีและยอดเยี่ยม พวกเขาเชื่อว่า หากกาแฟได้รับการดูแลอย่างดี ผลผลิตที่ได้จากทั้งมีประสิทธิภาพและมีปริมาณที่มาก โดยเฉลี่ยอาจได้มากเกิน 10 กิโลกรัมต่อต้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องดูแลมากมายเท่ากับกาแฟพันธุ์อื่นที่ปลูกกันในเคนยาอย่าง Ruiru 11 ซึ่งเป็นกาแฟที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลมากกว่า
ต้นของ SL-28 จะให้ผมเชอรี่ที่มีขนาดใหญ่หลังจากปลูกเป็นระยะเวลา 3 ปี และหากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ผลผลิตเชอรี่ที่เสียหายอาจมีน้อยมาก หากเปรียบเทียบกับต้นของ SL-34 จะมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับต้นของ SL-28 ความแตกต่างที่สำคัญอย่างเห็นได้ชัดเพียงอย่างเดียวคือ บริเวณปลายใบของ SL-34 จะเป็นสีบรอนซ์เข้ม แทนที่จะเป็นสีเขียว
ต้นของ SL-34 ยังมีความต้องการด้านโภชนาการมากกว่า และให้ผลผลิตที่ต่ำกว่าเล็กน้อย ทั้งต้นของ SL-28 และ SL-34 ทั้งสองเป็นพืชที่มีความไวต่อโรคสนิมในใบ CBD และแมลงศัตรูพืช
เรียกได้ว่า กาแฟพันธุ์ SL เป็นกาแฟพันธุ์ที่ฝังรากลึกในประเทศเคนยามานานกว่าหลายทศวรรษ กาแฟพันธุ์เหล่านี้มีมานานกว่ากาแฟพันยอดนิยมอื่น ๆ ในประเทศเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงสามารถเข้ากับสภาพอากาศในประเทศได้โดยธรรมชาติ ในปัจจุบัน คาดว่ากาแฟพันธุ์ต่าง ๆ ในซีรี่ส์ SL หากเทียบกับอัตราส่วนของกาแฟส่งออกทั้งหมด จะมีเปอร์เซ็นต์การส่งออกมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์
ข้อดีที่สำคัญของกาแฟพันธุ์ SL คือ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับการดูแลมาเป็นเวลานานหลายปี กาแฟก็ยังคงให้ผลผลิตต่อไปได้ ถึงแม้ว่าผลผลิตนั้นจะมีปริมาณน้อยลงก็ตาม นอกจากนี้แล้ว หากเรากลับมาดูแลต้นให้ดี ก็ยังคงสามารถกลับมาให้ผลผลิตได้ดีเหมือนในช่วงแรก
อีกอย่าง ต้นกาแฟเป็นต้นที่ไม่ต้องใส่ปุ๋ยหรือดูแลมากมายนัก แต่ก็ยังคงให้ผลตอบแทนที่ดี จะมีข้อเสียก็แต่ในเรื่องที่ไวต่อศัตรูพืช และโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะหนอนเจาะผลเชอรี่ แต่ถึงจะไวต่อศัตรูพืชและโรคต่าง ๆ ก็ยังเรียกได้ว่า เป็นกาแฟพันธุ์ที่มีความยืดหยุ่นสูง และมีความทนทานอย่างไม่น่าเชื่อ มีต้นกาแฟพันธุ์นี้ในเคนยา ที่เติบโตได้แม้ไม่ได้รับการดูแล ก็ยังคงเติบโตได้มากกว่าหลายสิบปี

โปรไฟล์รสชาติ
เมื่อกาแฟพันธุ์นี้ถูกปลูกในระดับความสูงปานกลางจนถึงระดับสูง (ซึ่งกาแฟพันธุ์ SL หมีจะเติบโตได้ดีที่สุด ที่ระดับความสูง 700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล) กาแฟเหล่านี้จะสุกช้าลง และมีเวลาในการพัฒนารสชาติได้อย่างเต็มที่ ทำให้ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพสูง มีบอดี้ที่ค่อนข้างมาก และที่สำคัญมีความเป็นกรด กลิ่นของถั่วและผลไม้มาเต็ม บางครั้งก็จะได้กลิ่นของดอกไม้และเครื่องเทศด้วย บางคนถึงกับมองว่า ถ้าเกิดมีการพัฒนากาแฟพันธุ์ SL นี้ให้มีความทนทานต่อโรคและศัตรูพืชในระดับที่ดีมากขึ้น จะกลายมาเป็นกาแฟที่ยอดเยี่ยมหาใดเปรียบเลย
แม้ว่าจะยังคงมีการโต้เถียง เกี่ยวกับคุณภาพของกาแฟ SL เปรียบเทียบกับกาแฟพันธุ์อื่นในประเทศ แต่ถึงอย่างนั้นกาแฟ SL ก็ยังคงเป็นกาแฟที่ได้คะแนนสูงมายาวนานอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่กาแฟพันธุ์ที่ถูกนำมาเปรียบเทียบกับ SL ก็จะเป็นกาแฟพันธุ์ใหม่ ๆ อย่าง Batian และ Ruiru 11
ถึงแม้ว่าจะมีกาแฟพันธุ์ใหม่ ๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมา และยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพดินและสภาพอากาศในประเทศเคนยาได้ เรียกได้ว่าเป็นกาแฟคุณภาพสูงเลย แต่ถึงอย่างนั้น กาแฟพันธุ์ SL ก็ยังมีปัจจัยบางอย่าง ที่เหล่าคอกาแฟมองหาอยู่ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ไม่เหมือนใคร และหากาแฟตัวใดมาเปรียบเทียบได้ยาก
อนาคตของ SL-28 และ SL-34
แม้ว่าจะสามารถพบเห็น และนิยมปลูกกาแฟ SL กันอยู่ทั่วประเทศเคนยา แต่ถึงอย่างนั้นการนำกาแฟพันธุ์นี้มาปลูก ก็ยังคงเป็นความท้าทายของเกษตรกรอยู่มาก ทั้งนี้ก็อย่างที่บอก ทั้งกาแฟ SL-28 และ SL-34 ต่างมีแนวโน้มที่จะเกิดสนิมในใบ CBD และแมลงศัตรูพืชอยู่มาก เกษตรกรบางกลุ่มถึงกับสูญเสียผลผลิตตลอดฤดูกาลเลย ทั้งนี้ก็เนื่องจากความเสียหายอันเกิดจากสภาพที่ว่ามาเหล่านี้ ดังนั้นเกษตรกรชาวเคนยาจึงกังวลเป็นอย่างมากที่จะนำกาแฟพันธุ์นี้มาปลูก
โดยเฉพาะโรค CBD ซึ่งเป็นอันตรายและเป็นความเสี่ยงที่สูงมากสำหรับเกษตรกรที่เลือกปลูกกาแฟพันธุ์ SL เมื่อช่วงปี 2019 เกษตรกรได้สูญเสียผลผลิตไปกว่าครึ่งของทั้งหมด และมีเกษตรกรบางส่วนเสียผลผลิตไปทั้งหมดด้วย มีเพียงบางกลุ่มเท่านั้น ที่ยังคงได้ผลผลิตอยู่บ้างจากกาแฟ Ruiru 11 แต่ก็เป็นเกษตรกรหรือผู้ผลิตจำนวนน้อย
เพื่อที่จะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ และควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้เหมาะสมกับการปลูก SL-28 และ SL-34 จึงต้องมีการใช้ต้นทุนที่สูงขึ้น กาแฟพันธุ์เหล่านี้อาจจะให้ผลผลิตที่สูงจริง แต่ท้ายที่สุดแล้ว เงินที่ได้มาจากผลผลิตเหล่านี้ ก็จะกลับเข้ามาหมุนเวียนในไร่เป็นจำนวนมากด้วย อีกทั้งต้องมีการดูแลอย่างเคร่งครัดในเรื่องที่เป็นปัญหาอย่างโรคภัยต่าง ๆ รวมถึงเหล่าศัตรูพืชด้วย แต่ก็อีกนั่นแหละ การที่จะดูแลในเรื่องเหล่านี้ ก็ยังต้องใช้ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น และแรงงานจำนวนมากขึ้นด้วย
และด้วยการแข่งขันในเรื่องของพันธุ์กาแฟที่สูงขึ้น ได้มีกาแฟพันธุ์ที่ใหม่กว่า และสามารถต้านทานโรคได้มากกว่า เช่น Batian และ Ruiru 11 ซึ่งสามารถต้านทานโรคหลัก ๆ ในกาแฟได้ อีกทั้งยังหายห่วงในเรื่องของแมลงและศัตรูพืชบางชนิด ทำให้ต้นทุนที่ใช้ในการปลูกถูกลง และสามารถดูแลรักษาต้นกาแฟได้ง่ายกว่า
ด้วยเหตุเหล่านี้ ทำให้ในปัจจุบัน ไร่กาแฟหลายที่ในเคนยา เริ่มที่จะหันมาใช้กาแฟพันธุ์ใหม่เหล่านี้มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็มีไร่กาแฟมากมาย ที่กำลังปรับปรุงพันธุ์ และพยายามดัดแปลงให้กาแฟ SL สามารถต้านทานโรคและศัตรูพืชได้มากขึ้น เรียกว่าเป็นพันธุ์กาแฟทางเลือกจะถูกกว่า
โดยสรุปก็คือ ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน เกษตรกรจำนวนมากจะเริ่มหันมาสนใจกาแฟพันธุ์ใหม่อื่น ๆ แต่เชื่อว่า กาแฟ SL ก็จะไม่หายไปในท้องตลาดอย่างง่ายดาย ถึงแม้กาแฟใหม่เหล่านั้นจะดีในแง่ของการต้านทานโรคและศัตรูพืชมากกว่าก็จริง แต่ SL ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมาเป็นเวลาหลายสิบปี บวกกับรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้จะยังคงอยู่ในท้องตลาดอีกนาน
ถึงแม้ว่าจะมีปัญหา และมีความท้าทายในการปลูกอยู่มาก แต่กาแฟ SL ก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่ทั่วประเทศเคนยาในปัจจุบัน อีกทั้งในหลายประเทศด้วย นอกจากนี้แล้ว ถ้าหากกาแฟ SL ไม่ได้ถูกนำมาปลูกแล้ว ท้ายที่สุดกาแฟพันธุ์อื่นที่นำมาใช้ ก็จะยังคงใช้ฐานของ SL หรือการนำ SL มาปรับปรุงพันธุ์อยู่ดี อาจจะด้วยวิธีการเพาะกิ่ง RE หาต้นตอของพันธุ์อื่นมาต่อกิ่งก็มีให้เห็น ดังนั้นจึงบอกได้ว่า กาแฟพันธุ์ใหม่ที่นำมาใช้ เป็นกาแฟ SL ที่ได้รับการปรับแต่งพันธุ์น่าจะถูกกว่า หมายความว่า กาแฟ SL จะยังคงอยู่คู่กับกาแฟเคนยาไปอีกหลายทศวรรษข้างหน้าเลย

ในอนาคตอันใกล้ เราจะได้เห็นกาแฟจากซีรี่ส์ SL ที่เกิดขึ้นใหม่ ยังคงเอกลักษณ์เฉพาะ ให้ผลผลิตที่สูงกาแฟคุณภาพยอดเยี่ยม และที่เพิ่มเติมคือความต้านทานต่อโรคและศัตรูพืชเพิ่มขึ้นในอนาคตแน่นอน
จากที่เห็น ทั้งกาแฟ SL-28 และ SL-34 ก็ยังคงค่อนข้างได้รับความนิยมจากทั้งคอกาแฟเคนยา และคอกาแฟทั่วโลก ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฐานะผู้ที่ดื่มกาแฟ หรือผู้คั่วกาแฟก็ตาม หากชอบกาแฟ SL-28 และ SL-34 ไม่ต้องกลัวว่ากาแฟทั้งสองจะหายไปอย่างแน่นอน เราจะยังคงได้ดื่ม และได้สัมผัสเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของกาแฟทั้งสองนี้อีกนาน ขอให้คุณมีความสุขกับการดื่มกาแฟครับ