Coffee Stuff: French Press ประวัติศาสตร์ และคู่มือการใช้งาน

หนึ่งในอุปกรณ์ชงกาแฟ ที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง หลายนร้าน หลายบ้าน โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟฟิลเตอร์เป็นชีวิตจิตใจ น่าจะมีกัน หรืออาจจะเคยใช้งาน หรือเคยสัมผัสกาแฟที่ผ่านการชงด้วยวิธีการนี้ นั่นก็คือ เครื่องชงกาแฟ French Press นอกเหนือจากการดริปโดยใช้ดริปเปอร์ ก็มีเครื่องนี้แหละ ที่ผู้คนน่าจะหยิบมาใช้งานกันบ่อยๆ ไม่ว่าจะด้วยราคาที่ไม่สูงมากนัก การสกัดกาแฟที่ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ พกพาสะดวก หรือจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ แต่มันก็ทำให้อุปกรณ์ชงกาแฟที่กลายเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ ที่ได้รับความนิยมสูงเอาเรื่อง และเป็นที่รู้จักในวงกว้างอย่างน่าเหลือเชื่อเลย

Barista making french press

และในวันนี้ เราจะพาคุณมาทำความรู้จักเครื่องชง French Press กันให้มากขึ้น มันมีที่มาที่ไปอย่างไร เราเริ่มใช้เครื่องชงนี้กันตั้งแต่เมื่อไหร่ หลักการทำงานของมันเป็นอย่างไร ตลอดจนถึงทริปเล็กๆ กับวิธีการในการสกัดกาแฟโดยใช้อุปกรณ์นี้ให้ออกมายอดเยี่ยมและอร่อยได้อย่างไร เราไปดูกันเลย

ประวัติความเป็นมาของ French Press

คุณอาจจะรู้จักชื่อFrench Press หรืออาจจะเคยได้เห็นอุปกรณ์ที่ดูเหมือนสิ่งนี้ แต่ในคนละชื่อ เช่น cafetiér หรือ plunger ทั้งหมดล้วนแล้วแต่คือFrench Press ทั้งสิ้น เหตุที่มันมีชื่อที่แตคกต่างกัน เกิดขึ้นจากการที่จดสิทธิบัตรหลายฉบับนั่นเอง สำหรับอุปกรณ์ชงกาแฟ ดีไซน์แรกหรือการจดสิทธิบัตรใบแรกนั้นเป็นเหี้ยอะไรมากไหมเนี่ยกูเบื่อมากยอดนิยมนี้

ในการออกแบบเครื่องชงกาแฟFrench Press ดีไซน์แรกหรือการจดสิทธิบัตรใบแรก ได้ถูกจดขึ้นครั้งแรกในปี 1852 โดย Mayer Frenchmen และ Delforge Frenchmen แต่สิทธิบัตรแรกนี้ไม่ได้มีชื่อเสียงเท่าไหร่นัก เหมือนกับแบบที่เราเห็นและมีโอกาสได้ใช้กันในปัจจุบันมากกว่า ดังนั้นสิทธิบัตรใบที่ 2 แต่ถือว่าเป็นสิทธิบัตรใบแรกที่ทำให้เครื่องชงกาแฟชนิดนี้ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักกันจนกระทั่งในปัจจุบัน เป็นการจดสิทธิบัตรโดย Attilio Calimani และ Giulio Moneta ทั้งสองเป็นชาวอิตาลี สิทธิบัตรใบนี้ถูกจดขึ้นในปี 1929

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ดีไซน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยดีไซน์ของเครื่องชงกาแฟชนิดนี้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดนั้น คือการจดสิทธิบัตรโดยชายชาวสวิสชื่อ Faliero Bondanini ซึ่งได้จดสิทธิบัตรในปี 1958 ในตอนนั้นเครื่องชงกาแฟชนิดนี้ใช้ชื่อว่า Chambord และเป็นที่นิยมมากในประเทศฝรั่งเศส มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในร้านกาแฟทั่วประเทศฝรั่งเศส ต่อมา Bondanini ได้ทำการตลาดเครื่องชงกาแฟนี้โดยใช้ชื่อว่า La Cafetiére Classic และได้เปิดตลาดในสหราชอาณาจักร โดยมีบริษัท Bodum บริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศเดนมาร์ก กลายเป็นผู้จัดจำหน่ายของเครื่องชงกาแฟนี้ แต่เป็นการวางขายในประเทศเดนมาร์ก ทั้งตัวบริษัทBodum และผู้จดสิทธิบัตรในชื่อแบรนด์ La Cafetiére Classic ทั้งสองมีข้อพิพาททางกฎหมายเกิดขึ้น มีการต่อสู้กันเพื่อให้ได้ตลาดนอกยุโรป และได้มีการต่อสู้กันในเรื่องของสิทธิบัตรขึ้นในเวลาต่อมา

ในตอนแรกชื่อของมันเป็นภาษาอิตาลี แล้วท้ายที่สุดแล้วมันกลายมาเป็นFrench Press ซึ่งเป็นฝรั่งเศสได้อย่างไร หนึ่งในสาเหตุหลัก คือการที่มันได้รับความนิยมอย่างมากในฝรั่งเศส แต่ถึงอย่างนั้นก็มีอีกหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เครื่องชงกาแฟชนิดนี้เป็นหนึ่งในเครื่องชงกาแฟและวิธีการสกัดกาแฟที่ง่ายที่สุด และทำให้ได้กาแฟรสชาติยอดเยี่ยม ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่มันกลายเป็นที่นิยมไปทั่วฝรั่งเศส และในที่สุดก็กลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก

รสชาติกาแฟที่ได้จากเครื่องชงกาแฟ French Press

เครื่องชงกาแฟชนิดนี้ นับว่าเป็นอุปกรณ์สกัดกาแฟแบบฟิลเตอร์ และเป็นแบบแช่กาแฟเต็มรูปแบบ โดยจะมีตัวกรองเป็นกรองตาข่ายโลหะ ด้วยเหตุนี้เองทำให้สามารถรับประกันได้เลยว่า กาแฟที่ผ่านการสกัดโดยใช้เครื่องชงกาแฟนี้จะมีสัมผัสและบอดี้ที่หนักแน่นเนื่องจากมีน้ำมันหลงเหลืออยู่ในกาแฟมากกว่าการชงรูปแบบอื่นๆ ในบางครั้งเราอาจสัมผัสถึงเนื้อกาแฟได้เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นสำหรับใครที่ไม่ชื่นชอบกาแฟหนักๆ อยากได้กาแฟเบา มีความคลีนสูงอะไรแบบนั้น เครื่องชงกาแฟชนิดนี้ไม่เหมาะกับคุณอย่างแน่นอน แต่ข้อดีของการสกัดกาแฟโดยใช้เครื่องนี้ คือเราสามารถที่จะควบคุมตัวแปรแทบจะทั้งหมดในการสกัดกาแฟได้เป็นอย่างดี เช่นในเรื่องของอุณหภูมิน้ำ เบอร์บดกาแฟที่เราใช้ และกระทั่งเวลาในการสกัด ทำให้เราสามารถปรับแต่งวิธีการชงตามความชอบส่วนตัวได้อย่างง่ายดาย และหากเราส่งออกมาอย่างถูกต้องและแม่นยำ ผลลัพธ์ที่ได้คือเราจะได้เพลิดเพลินกับกลิ่นอันหอมกรุ่นของกาแฟ และเราได้รับรสชาติของกาแฟแต่ละแก้วที่เราชงอย่างเต็มที่เลยทีเดียว

brewing coffee in a French press

วิธีการใช้ French Press อย่างมืออาชีพ

วิธีการใช้เครื่องชงกาแฟชนิดนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็มีตัวแปรสำคัญหลายอย่างที่เราจะต้องหยิบมาพิจารณา ก็เหมือนกับการชงฟิลเตอร์หลายวิธี ตัวแปรเหล่านี้ยังคงจำเป็นต้องมีการกำหนดให้คงที่ ก่อนที่จะไปควบคุมตัวแปรอื่นได้นั่นเอง

เบอร์บด

ก่อนที่เราจะไปคุยกันเรื่องของปัจจัยอื่นๆ เรามาดูปัจจัยที่เป็นพื้นฐานมากที่สุดอย่างหนึ่งของการชงกาแฟ นั่นก็คือเรื่องของเครื่องบดกาแฟของเรา ให้มั่นใจว่าเป็นเครื่องบดกาแฟที่มีการบดกาแฟออกมาอย่างสม่ำเสมอ เฟืองบดเป็นเฟืองบดที่มีคุณภาพ วิธีการชงด้วยวิธีการนี้โดยปกติจะมีความเสี่ยงสูงต่อการสกัดออกมามากจนเกินไปอยู่แล้ว คำถามต่อไปคือ แล้วเบอร์บดที่ถูกต้องคือแบบไหน หากใช้เครื่องชงนี้ กาแฟของเราอาจจะต้องบดออกมาค่อนข้างหยาบ หากเปรียบเทียบให้บทมาลักษณะเหมือนกับเม็ดทราย ถ้าเราบดกาแฟละเอียดจนเกินไป น้ำจะทำการดึงสารประกอบต่างๆ ที่อยู่ในกาแฟออกมามากและเร็วจนเกินไป หากเป็นการสกัดกาแฟแบบการแช่กาแฟ ใช้เครื่องชงกาแฟรูปแบบอื่นอาจจะไม่ได้มีปัญหามากมายนัก แต่เครื่องชงกาแฟนี้โดยด้วยการใช้ตัวกรองที่เป็นตาข่ายโลหะ อาจจะทำให้เมื่อเราบดกาแฟละเอียดมากจนเกินไป ผงกาแฟบางส่วนอาจจะตกลงไปในกาแฟได้ และเราอาจจะสัมผัสได้ถึงมันบ้าง

อัตราส่วนการสกัด

ในเรื่องของอัตราส่วนการสกัด สำหรับการสกัดกาแฟด้วยวิธีการนี้ อาจจะเริ่มด้วยอะไรที่ไม่ได้ซับซ้อนมากนัก ใช้อัตราส่วนทั่วไปคือการใช้กาแฟต่อน้ำอยู่ที่อัตราส่วน 1:15 ยกตัวอย่างเช่น หากกาแฟบดของเราใช้อยู่ที่ 15 กรัม เราอาจใช้น้ำอยู่ที่ 225 มิลลิลิตร เริ่มต้นด้วยอัตราส่วนทองคำนี้ แล้วอาจจะทำการปรับเปลี่ยนทำการเพิ่มหรือการลด แล้วหารสชาติที่ลงตัวสำหรับเราที่สุด แบบนี้น่าจะเหมาะสมมากกว่า

อุณหภูมิน้ำ

อุณหภูมิของน้ำก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่เราสามารถที่จะทดลองได้ตามความชื่นชอบส่วนตัวของเราเลย แต่หากจะให้แนะนำ ในกรณีที่ใครไม่มีเทอร์โมมิเตอร์ไว้คอยวัดอุณหภูมิจริง หลังจากที่น้ำเดือดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้เราจับเวลาแล้วทิ้งไว้ประมาณ 45 วินาที เราจะได้อุณหภูมิน้ำที่เหมาะสมสำหรับการสกัดกาแฟที่สุดคืออยู่ที่ประมาณ 90 องศาเซลเซียส กาดริปกาแฟแบบที่สามารถปรับอุณหภูมิได้เอง นับว่าเป็นสิ่งที่อยากแนะนำและควรค่าแก่การลงทุนมากเลยทีเดียว มันไม่ใช่แค่ดีสำหรับการดริปกาแฟเท่านั้น แต่การสกัดกาแฟฟิลเตอร์ทั้งหลายมันยังทำออกมาได้ดีด้วย

เวลาในการสกัด

เวลาที่เราใช้ในการสกัดกาแฟนี้ อาจจะอยู่ในช่วงตั้งแต่ 3-5 นาที ขึ้นอยู่กับว่าการคั่วกาแฟของเราเป็นแบบใด สำหรับกาแฟคั่วเข้ม การใช้เวลานานถึง 5 นาทีอาจจะเป็นเวลาที่นานเกินไป ในทางกลับกันหากเป็นกาแฟคั่วอ่อน 3 นาทีก็สั้นจนเกินไปเช่นเดียวกัน ดังนั้นให้เริ่มจากตรงกลาง โดยเริ่มที่ 4 นาที น่าจะเป็นจุดที่ปลอดภัยมากที่สุดแล้วก็ปรับเปลี่ยนตามการคั่วกาแฟของเรา ท้ายที่สุดแล้วก็ปรับเปลี่ยนตามรสนิยมความชอบของเราได้เลย

ขั้นตอนการสกัดกาแฟ

ขั้นตอนแรกนั้นมีความสำคัญมากที่สุดเลยก็ว่าได้ หากอยากให้กาแฟของเรามีการสกัดออกมาอย่างคงที่มากที่สุด นั่นคือให้เราทำการวอร์มเครื่องชงกาแฟของเราเสียก่อน จากนั้นทำการใส่กาแฟบดของเราลงไป ค่อยๆบรรจงทำการเติมน้ำลงไปอย่างช้าๆ และตรวจสอบให้แน่ใจ ว่ากาแฟของเรามีการสัมผัสกับน้ำครบทุกส่วน ในตอนแรกนี้ เช่นเดียวกับการดริปกาแฟ คือเป็นขั้นตอนการบลูม โดยเราจะทำการใส่น้ำลงไปปริมาณประมาณ 2 เท่าของกาแฟ ยกตัวอย่างเช่นหากเราใช้กาแฟ 15 กรัม ในขั้นตอนแรกนี้เราจะเติมน้ำลงไป 30 มิลลิลิตร

จากนั้นเราจะทำการคนเบาๆ หลังจากที่ผ่านไปประมาณ 30 วินาทีแล้ว ให้เราเติมน้ำที่เหลือลงไป และทำการวางลูกสูบของเราลงในเครื่อง แต่อย่าเพิ่งรีบกด ให้เราปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลาประมาณ 4 นาที จากนั้นเราจะค่อยๆ ทำการกดอย่างช้าๆ ให้ลงไปด้านล่าง เพื่อเป็นการสกัดกาแฟลงในแก้วกาแฟของเราอย่างระมัดระวัง ไม่ทำเร็วจนเกินไปเพราะอาจจะทำให้ไปเป็นการรบกวนการสกัดกาแฟได้

Pouring French press coffee

เคล็ดลับสำหรับการใช้ French Press

เรียกว่าเป็นเคล็ดลับและอาจเป็นข้อสังเกตบางประการ สำหรับการสกัดกาแฟโดยใช้เครื่องชงกาแฟนี้ อันแรกก็คือหากเราทำการกดยากจนเกินไป แสดงว่ากาแฟของเราอาจจะบดละเอียดจนเกินไป ในทางกลับกันหากมันมีแรงต้านที่น้อยจนเกินไป หมายความว่ากาแฟของเรามีการหยาบจนเกินไป แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าแบบไหนคือพอดี ง่ายที่สุดคือต้องเริ่มจากการทดลองครั้งแรกก่อน ทดลองไปเรื่อยๆ เราก็จะรู้น้ำหนักมือของเรา และรู้ว่าแบบไหนที่เราบดกาแฟหยาบหรือละเอียดจนเกินไป

สำคัญอีกอย่างสำหรับการสกัดกาแฟด้วยวิธีนี้หากจะให้แนะนำ น่าจะดีหากเราทำการเสิร์ฟกาแฟทันทีหลังจากที่ทำการสกัดเรียบร้อยแล้ว เพราะจุดเด่นของมันคือบอดี้ที่หนัก กับความขมที่ค่อนข้างดี เมื่อเราทำการดื่มทันทีหรือเสิร์ฟทันทีหลังจากสกัดเรียบร้อยแล้ว รสชาติขมจะยังคงอยู่ในกาแฟของเรา

การสกัดกาแฟด้วยวิธีการนี้ กับเครื่องชงกาแฟนี้ ค่อนข้างมีความเสี่ยงที่จะทำให้กากกาแฟหลงเหลืออยู่ในเครื่อง ดังนั้นตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราทำความสะอาดเครื่องชงกาแฟของเราอย่างทั่วถึงและบ่อยมากพอ กากกาแฟเก่าที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในตัวกรองหรือตัวเครื่อง อาจจะไปทำลายรสชาติของกาแฟชงใหม่แก้วต่อไปก็ได้

และก็เช่นเดียวกับการสกัดกาแฟหลายวิธี การทดลองเล่นกับตัวแปรต่างๆ เปรียบเสมือนการทดลองทำให้เราได้รสชาติที่สนุกและอร่อยมากยิ่งขึ้น และเราจะได้แก้วกาแฟที่ดีที่สุดที่เราชอบมากที่สุด ของแบบนี้อยู่ที่ความชอบส่วนตัวและFrench Press ก็เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ชงกาแฟที่ควบคุมปัจจัยเหล่านี้ได้ง่าย หากใครไม่เคยลองอยากให้ลองหาซื้อมาใช้งานดู