หลายคนน่าจะยังไม่รู้ ว่าฮาวาย เป็นสถานที่หนึ่งที่นับว่าสามารถผลิตกาแฟคุณภาพออกมาได้ โดยเฉพาะ กาแฟฮาวาย ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย Kona หนึ่งในกาแฟที่แพงที่สุดในโลก และกลายเป็นกาแฟที่ถูกพูดถึงอย่างมากในวงการกาแฟ หลังจากที่มีปัญหาในเรื่องของการละเมิดลิขสิทธิ์ และการติดฉลากที่ไม่ถูกต้อง

Kona ชื่อนี้เป็นชื่อของภูมิภาคปลูก กาแฟฮาวาย ถึงแม้กาแฟจากแหล่งนี้จะค่อนข้างมีชื่อเสียง และถูกพูดถึงไปทั่วโลกก็ตาม แต่แท้จริงแล้วบนหมู่เกาะฮาวายนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่กาแฟจากพื้นที่ Kona เพียงเท่านั้น แต่ทั่วทั้งรัฐ ยังมีพื้นที่ปลูกกาแฟอีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีไร่กาแฟอีกหลายพันแห่งด้วย
กาแฟเดินทางเข้ามาสู่หมู่เกาะฮาวายครั้งแรก ในช่วงประมาณปี 1820 ซึ่งปัจจุบัน รัฐฮาวายถือเป็นรัฐเดียวในสหรัฐอเมริกา ที่มีการปลูกกาแฟสำหรับใช้ในการค้า และด้วยเหตุปัจจัยที่โดดเด่น ดินภูเขาไฟที่อุดมสมบูรณ์ และสภาพอากาศที่เหมาะสมในเขตร้อน ทำให้สถานที่แห่งนี้สมบูรณ์แบบสำหรับการปลูกกาแฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปลูกกาแฟในภาคส่วนของกาแฟสเปเชียลตี้
วันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับกาแฟฮาวายกันให้มากขึ้น หมู่เกาะแห่งนี้ นำกาแฟเข้าไปปลูกตั้งแต่เมื่อไหร่ กาแฟยอดนิยมของที่นี่คืออะไร และท้ายที่สุด รสชาติของกาแฟที่นี่จะถูกใจใครหลายคนหรือไม่ ถึงจะหายาก และไม่ค่อยเป็นที่พูดถึงมากนัก แต่กาแฟฮาวายก็ค่อนข้างเป็นอะไรที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว
กาแฟฮาวาย มาจากไหน
หากเราจะเล่าเรื่องของกาแฟบนหมู่เกาะฮาวายแห่งนี้ จะขอย้อนไปถึงภูมิภาคปลูกกาแฟที่มีความสำคัญมากที่สุดบนหมู่เกาะฮาวาย คือภูมิภาค Kona ประวัติของกาแฟ Kona เราจำเป็นจะต้องย้อนกลับไปในช่วงปี 1828 ซึ่งมีบาทหลวงคนหนึ่ง Samuel Ruggles ได้ทำการนำเมล็ดกาแฟจากบราซิล เข้ามายังภูมิภาคฮาวาย บนเกาะ Hilo และหลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้มีการนำต้นกล้าไปเพาะบนพื้นที่ Kona และนี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ของกาแฟ ที่ในปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งเพาะปลูกกาแฟที่รู้จักไปทั่วโลก และในภูมิภาค Kona ยังเป็นสถานที่ที่ได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายของทางรัฐด้วย
ในงาน World’s Fair 1873 ที่กรุงเวียนนา กาแฟจาก Kona ได้รับรางวัลระดับนานาชาติเป็นครั้งแรก ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้อุตสาหกรรมกาแฟของฮาวาย ได้รับการพัฒนา และด้วยความพยายามของบรรดาเกษตรกรรายย่อยทั้งหลาย ทำให้วงการกาแฟในหมู่เกาะตื่นตัวขึ้น แรงงานส่วนใหญ่ในสมัยนั้น จะเป็นแรงงานข้ามชาติ
แรงงานเหล่านี้ ส่วนใหญ่มาจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศจีน แต่ถึงอย่างนั้น ชาวฮาวายพื้นเมือง ก็มีส่วนที่ทำให้อุตสาหกรรมกาแฟในภูมิภาคเติบโตมาก ช่วงเวลาในอดีตนี้ ไร่กาแฟส่วนใหญ่ มีเจ้าของและดำเนินการโดยชาวอาณานิคมยุโรปและอเมริกา
ถึงแม้ว่าดูเหมือน อุตสาหกรรมกาแฟภายในประเทศจะดูอู้ฟู่ และค่อนข้างมีชื่อเสียงก็ตาม แต่ในตอนนั้นกาแฟก็ไม่ได้นับเป็นพืชเศรษฐกิจ พืชเศรษฐกิจที่ทำรายได้ให้หมู่เกาะกลับเป็นพืชชนิดอื่น ในขณะที่กาแฟ อยู่ในฮาวายมาเกือบ 200 ปีแล้ว ถึงอย่างนั้น น้ำตาลและสับปะรด ก็ยังคงเป็นพืชสองชนิดที่มีความโดดเด่นบนเกาะ ในช่วงศตวรรษที่ 19-20
แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า กาแฟบนหมู่เกาะฮาวาย จะอยู่ไม่ได้และไม่ได้รับความนิยม อุตสาหกรรมกาแฟนี้ ได้มีการขยายตัวและหดตัวตลอดในช่วงศตวรรษที่ 20 จนกระทั่งเมื่อประมาณ 30 ปีนี้เอง ที่หลายสิ่งหลายอย่างได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไป โดยในช่วงประมาณปี1980 การผลิตน้ำตาลและสับปะรด บนหมู่เกาะฮาวายเริ่มที่จะลดลง นี้เป็นช่วงเดียวกับที่มีการผลิตกาแฟสเปเชียลตี้ทั่วโลก สิ่งนี้เริ่มผลักดันให้ผู้ที่ชื่นชอบกาแฟทั่วโลก ต้องการกาแฟที่มีเอกลักษณ์จากแหล่งที่มาที่แตกต่างกัน เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ และให้ความสำคัญในเรื่องของความเป็นธรรม กับการใช้แรงงานที่ถูกต้อง นั่นเองทำให้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคKona เพื่อที่จะสร้างชื่อตนเอง และเข้ามายืนในจุดหนึ่งของวงการกาแฟสเปเชียลตี้นี้
กาแฟฮาวายในปัจจุบัน
ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 ตัวเลขการผลิตกาแฟของฮาวายก็ได้เพิ่มสูงขึ้น และในปัจจุบันนี้เอง การผลิตกาแฟบนหมู่เกาะฮาวาย ก็นับว่าเป็นผลผลิตที่ผลิตได้มากกว่าพืชผลชนิดอื่น เมื่อเดือนมกราคมปี 2021 ได้มีการสำรวจโดย USDA มีรายงานว่า พื้นที่ประมาณกว่า 6,900 เอเคอร์ ทั่วทั้งรัฐฮาวาย ถูกใช้เพื่อการเพาะปลูกกาแฟเพียงอย่างเดียว ฮาวายยังทำการผลิตสารกาแฟ อยู่ที่ประมาณ 5 ล้านปอนด์ต่อปี ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก
ถึงแม้เป็นตัวเลขที่สูง แต่ถึงอย่างนั้นก็คิดเป็นไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ของการผลิตกาแฟทั้งหมดในโลก และแม้จะเป็นแบบนั้น ภาคกาแฟของประเทศ ยังคงมีมูลค่า อยู่ที่มากกว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว กาแฟที่ปลูกบนหมู่เกาะฮาวายนี้ ส่วนใหญ่เป็นกาแฟสายพันธุ์อาราบิกา และมักจะปลูกกันในเชิงพาณิชย์โดยเฉพาะ อาจมีโรบัสต้าอยู่บ้าง แต่ก็มีเป็นจำนวนน้อย และไม่ค่อยปลูกเพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์สักเท่าไหร่นัก น่าสนใจที่กาแฟสายพันธุ์ลิเบอริกา ก็ยังมีที่ยืนในภูมิภาค Kona แต่ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อเป็นต้นตอ ทั้งนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาศัตรูพืชอย่างพวกไส้เดือนฝอย
ไส้เดือนฝอยจะเข้าไปทำลายรากของต้นกาแฟ เคยมีการทำลายครั้งใหญ่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1990 ซึ่งส่งผลต่อปริมาณการผลิตที่ลดลง ด้วยเหตุนี้เองทางนักวิจัยจึงได้ทำการตัดต่อกิ่ง โดยใช้กิ่งของอาราบิก้า ปักลงบนรากของลิเบอริกา เพื่อสร้างพืชที่มีความต้านทานต่อศัตรูพืชเหล่านี้ได้
ตั้งแต่กาแฟเดินทางมาถึง Kona ในช่วงประมาณศตวรรษที่ 19 บนหมู่เกาะฮาวายแห่งนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ภูมิภาคนี้เท่านั้นที่ทำการปลูกกาแฟ แต่ยังมีการปลูกกาแฟ โดยเฉพาะกาแฟอาราบิก้า อยู่อีกมากมายหลากหลายพื้นที่ทั่วทั้งรัฐ
พื้นที่ปลูกกาแฟบนหมู่เกาะฮาวายมีมากมาย แต่พื้นที่ปลูกกาแฟที่เป็นพื้นที่หลัก ได้แก่ Kona, Ka’u, Puna, Hamakua, Maui, Kauai, O’ahu และ Molokai ดังนั้นเราจึงอาจกล่าวได้ว่า บนหมู่เกาะฮาวายนี้ ถือเป็นแหล่งการปลูกกาแฟเชิงพาณิชย์ที่ค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว เพราะสามารถปลูกกาแฟได้เกือบทุกพื้นที่บนหมู่เกาะ
นอกจากมีการปลูกเชิงพาณิชย์กันแล้ว ยังมีเกษตรกรบางกลุ่มด้วย ที่ปลูกกาแฟเป็นงานอดิเรก หรือปลูกกาแฟเพื่อนำมาบริโภคเป็นการส่วนตัว

สิ่งที่ทำให้กาแฟฮาวายแตกต่าง
เนื่องจากฮาวายนั้น เป็นรัฐหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐบาลกลาง กาแฟที่ปลูกในฮาวาย จึงนับได้ว่าเป็นกาแฟที่มีความเป็นธรรมค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในเรื่องของการจ้างงาน เกษตรกรรายเล็กรายน้อย มีรายได้ที่ค่อนข้างจะดีในการปลูกกาแฟ ต่างกับอีกหลายประเทศ ที่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟยังคงโดนกดค่าแรงอยู่
ยกตัวอย่างเช่น โดยปกติแล้ว การที่เราจ่ายค่ากาแฟไป ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จากผู้บริโภค อาจจะตกไปถึงเกษตรกรอยู่ที่ประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์เพียงเท่านั้น แต่ในฮาวายแตกต่างออกไป ราคากาแฟที่ผู้บริโภคจ่ายไป จะเข้าถึงเกษตรกรอยู่ที่ประมาณ 40-60 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว หรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะว่า ทางผู้ผลิต กับผู้บริโภคมีการซื้อขายกันโดยตรง
นอกจากนี้ บนหมู่เกาะฮาวาย ยังมีความพิเศษที่เหมาะสมสำหรับการปลูกกาแฟอีกด้วย บนหมู่เกาะฮาวาย มีทั้งอุณหภูมิ ดิน และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการเพาะปลูก การขาย และการส่งออกกาแฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สภาพอากาศเป็นประเด็นที่สำคัญมาก หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุด ที่ต้องเลือกพิจารณาเมื่อคิดจะทำการเพาะปลูกกาแฟ คือเรื่องของสภาพอากาศ อุณหภูมิส่วนใหญ่ จะถูกกำหนดโดยละติจูด และระดับความสูงของพื้นที่นั้น ๆ
บนหมู่เกาะฮาวายนี้ พื้นที่ที่ทำการปลูกกาแฟ หากเทียบกับอีกหลายประเทศ เรียกได้ว่ามีระดับความสูงที่ค่อนข้างต่ำ สูงที่สุด อยู่ที่ประมาณ 1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และนี่คือเหตุผลที่ทำให้กาแฟของที่นี่ไม่เหมือนกับที่อื่น ด้วยระดับความสูงที่ต่ำกว่านี้เอง ทำให้ระดับความเป็นกรดในกาแฟนั้นต่ำลง เป็นเหตุผลให้กาแฟของฮาวาย มักจะมีรสหวานเสมอ
และนอกจากนี้ หากเป็นกาแฟจากแหล่งปลูกที่ต่างกันบนเกาะ อาจมีความแตกต่างกันในเรื่องของรสชาติกาแฟด้วย ถึงแม้ว่า อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วทั้งรัฐฮาวาย จะค่อนข้างคงที่และเหมือนกัน แต่ปริมาณน้ำฝนกลับผันผวน และแตกต่างกันเป็นอย่างมากในแต่ละภูมิภาค นั่นทำให้กาแฟออกมาต่างกันด้วย
ยกตัวอย่างเช่น ในเขต Kona พื้นที่ค่อนข้างมีความแห้งแล้ง และมีแดดออกเป็นส่วนใหญ่ ในขณะเดียวกันพื้นที่ Puna ซึ่งอยู่บริเวณฝั่งตรงข้ามของเกาะเดียวกัน มีสภาพอากาศที่ค่อนข้างเปียกชื้นกว่าอย่างเห็นได้ชัด นั่นหมายความว่า ฮาวายสามารถที่จะนำเสนอรูปแบบรสชาติของกาแฟ และมอบประสบการณ์ให้กับผู้ดื่มกาแฟได้หลากหลายตามสภาพการปลูก
ภูมิภาคการปลูกกาแฟในฮาวาย
Kona
เขตพื้นที่ Kona ตะวันตก นับว่าเป็นพื้นที่ปลูกกาแฟที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของรัฐ ประกอบด้วยไร่กาแฟมากกว่า 900 แห่งเพียงพื้นที่เดียว เนื่องจากพื้นที่ของ Kona ตั้งอยู่ระหว่างเนินภูเขาไฟที่มีชื่อว่า Mauna Loa และภูเขาไฟ Hualalai เป็นสถานที่ที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบสำหรับการปลูกกาแฟเลยทีเดียว เนื่องจากดินภูเขาไฟ เป็นดินที่มีสารอาหารอยู่อย่างหนาแน่น และสารอาหารที่อยู่ในดินถึงขนาดนี้ ย่อมส่งผลดีต่อพืชอย่างแน่นอน
ต้นกาแฟจากพื้นที่ Kona จะออกดอกตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ และจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนธันวาคม หลังจากกรรมวิธีการโปรเซสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กาแฟจะถูกคัดเกรดตามขนาดและคุณภาพ โดยเกรดของกาแฟที่มีการแบ่งนั้น อาจมีมากมายหลายระดับเช่น “Kona Extra Fancy”, “Kona Fancy” และ “Kona Peaberry”
มีกาแฟมากมายหลายพันธุ์ ที่ถูกปลูกในภูมิภาค Kona พันธุ์ที่ค่อนข้างได้รับความนิยม คือ Kona Typica ซึ่งมีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์มาก ถึงแม้ว่าจะไม่มีข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ ว่ากาแฟพันธุ์นี้มาสู่ที่นี้ได้อย่างไร แต่เชื่อกันว่า ถูกนำเข้าจากประเทศกัวเตมาลามายังในฮาวาย ในช่วงประมาณปลายศตวรรษที่ 19 ต้นกาแฟเหล่านี้เกิดการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ และปรับตัวให้เข้ากับสภาพบนเกาะ และไม่เพียงแค่กาแฟ Typica เท่านั้น ยังมีแผนกาแฟอีกมากมายที่ถูกปลูกในภูมิภาค Kona
แต่ก็มีข้อพิพาทบางอย่างเกิดขึ้น กับกาแฟ Kona เนื่องด้วยหลายปีที่ผ่านมานี้ กาแฟจาก Konaค่อนข้างเป็นกาแฟที่มีชื่อเสียงในอุตสาหกรรมกาแฟ ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน คุณภาพชั้นเยี่ยม และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์
ตลอดช่วงทศวรรษที่ 1980 Kona ถือเป็นหนึ่งในกาแฟคุณภาพสูงที่สุดในโลก โดยกาแฟมีชื่อเสียงด้านรสชาติที่มีความนุ่มนวล หอมหวาน กลิ่นของช็อกโกแลต จนถึงตอนนี้กาแฟยังคงมีราคาที่ค่อนข้างพรีเมี่ยม นับว่าเป็นกาแฟที่มีราคาสูงมากเลยทีเดียว
แต่ด้วยราคาที่สูง ชื่อเสียงที่โด่งดัง และมูลค่าอันมหาศาลของกาแฟ Kona ทำให้มีผลิตภัณฑ์ลอกเลียนแบบออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ไปลดคุณค่าของกาแฟ Kona แบบดั้งเดิม ด้วยเหตุนี้เอง ในช่วงทศวรรษที่ 1990 ทางรัฐฮาวายจึงได้ออกกฎหมาย ว่าหากอยากจะติดฉลาก และใช้ชื่อ Kona ในการขาย จำเป็นที่จะต้องมีกาแฟ Kona ผสมอยู่ในกาแฟเหล่านั้นขั้นต่ำ 10 เปอร์เซ็นต์ มิเช่นนั้นจะไม่สามารถเครมได้ ว่ากาแฟของตนเป็นกาแฟ Kona
และในช่วงหลายปีต่อมา หลายแบรนด์เริ่มมีการใช้ว่า กาแฟของตนเองเป็นกาแฟ Kona แต่แล้วกาแฟจากฮาวายก็เริ่มมีราคาแพงขึ้น ผู้ผลิตหลายราย ก็ยังคงใช้กาแฟจาก Kona ผสมในกาแฟของตนเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เหมือนเดิม แต่กาแฟที่เหลืออีก 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นกาแฟที่คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานมาก ทำให้ภาพรวมรสชาติโดยรวมออกมาแย่
เรื่องนี้ลากยาวมาจนถึงในช่วงเดือนมีนาคม 2021 ที่ผ่านมานี้เอง ทางแบรนด์ต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา ได้จ่ายเงินรวมกว่า 13 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้ทำการยุติคดีนี้ จนท้ายที่สุดแล้วเสื้อผ้าของฮาวาย ได้ลงมติให้สภานิติบัญญัติของรัฐ ทำการตรวจสอบ และได้มีข้อกำหนดใหม่ที่ว่า หากจะใช้คำว่ากาแฟ Kona ได้ จำเป็นที่จะต้องมีกาแฟ Kona ผสมอยู่ในกาแฟอย่างน้อย 51 เปอร์เซ็นต์
Ka’u
ก่อนมีการปลูกกาแฟ บริเวณภาคใต้ของ Ka’u เป็นพื้นที่ผลิตอ้อยที่ค่อนข้างใหญ่ ต้นกาแฟต้นแรกที่เข้ามาปลูกในภูมิภาค Ka’u นี้ ถูกปลูกขึ้นในปี 1997 นอกจากพื้นที่ของ Ka’u จะเป็นแหล่งดินภูเขาไฟที่อุดมสมบูรณ์แล้ว ในภูมิภาคแห่งนี้ยังมีฝนตกชุกอยู่ตลอด อีกทั้งยังมีแสงแดดที่เอื้อต่อการเติบโตของพืชด้วย
แม้จะเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างใหม่สำหรับการปลูกกาแฟ แต่ภูมิภาคแห่งนี้ แล้วก็มีการเจริญเติบโต และมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมานี้ ในการเพาะปลูกกาแฟของปี 2016/17 มีการปลูกกาแฟมากกว่า 351,000 ปอนด์
Hāmākua
เช่นเดียวกับภูมิภาค Ka’u ภูมิภาค Hāmākua แห่งนี้ แต่เดิมแล้วเคยเป็นภูมิภาคที่ผลิตอ้อยเป็นหลัก ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นการผลิตกาแฟเหมือนทุกวันนี้ ภูมิภาคแห่งนี้เป็นภูมิภาคเล็ก ๆ สำหรับการปลูกกาแฟ มีไร่กาแฟอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งอยู่ที่ประมาณแค่ 45 ไร่ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะใหญ่ เป็นภูมิภาคที่ผลิตกาแฟได้ในปริมาณที่น้อยมาก หากเทียบกับ Kona, Maui และ Ka’u แต่อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคนี้ ก็สร้างชื่อให้กับตัวเองขึ้นอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมกาแฟของฮาวาย
พันธุ์กาแฟ การโปรเซส และรสชาติของกาแฟ
กรรมวิธีการโปรเซสกาแฟของเกาะฮาวาย ก็ไม่ได้แตกต่างจากที่อื่นมากนัก วิธีการที่ค่อนข้างได้รับความนิยมคือ washed และ semi-washed ซึ่งเป็นวิธีการที่นิยมทำกันมาตั้งแต่ในอดีต แต่ในปัจจุบันนี้ ที่การโปรเซสเชิงทดลองมีมากขึ้น ทำให้สิ่งนี้กลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้นบนเกาะ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้มีแกนนำยีสต์ เข้ามาใช้ในกระบวนการโปรเซสกาแฟมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีการโปรเซสแบบ honey และ natural ที่หลายฟาร์มเริ่มนำวิธีการเหล่านี้เข้ามาใช้แล้ว ทั้งนี้ก็เนื่องจากเกษตรกร สามารถเข้าถึงองค์ความรู้ และเรียนรู้วิธีการปลูกพืชที่หลากหลายได้มากยิ่งขึ้น และเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง ในฮาวาย ผู้ผลิตบางรายเริ่มใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ และนวัตกรรมในการโปรเซสกาแฟ เริ่มใช้วิธีการหมักหลายรูปแบบ นำมาใช้กับกาแฟของตนด้วย
สำหรับรสชาติของกาแฟฮาวายนั้น รสชาติที่ได้จะมีความแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับพันธุ์กาแฟที่เลือกมาใช้ พื้นที่ปลูก วิธีการในการโปรเซส โปรไฟล์ที่ใช้สำหรับการคั่วกาแฟ และปัจจัยอื่นอีกหลายประการร่วมด้วย ก็เหมือนกับกาแฟในหลาย ๆ ที่นั่นแหละ
สำหรับกาแฟ Kona ถูกกล่าวถึงในแง่ของความนุ่มนวล และรสชาติที่ค่อนข้างมีความละเอียดอ่อน อาจมีรสชาติและกลิ่นของช็อกโกแลตนม คาราเมล และดอกไม้ด้วย ในขณะเดียวกันกาแฟจาก Ka’u ให้รสชาติที่มีความเข้มข้นมากกว่า บอดี้ที่มีความหนักมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงไว้ซึ่งความซับซ้อนอยู่ หลายคนกล่าวว่า กาแฟจากที่นี่มีความคล้ายกับกาแฟโคลอมเบียอยู่มาก
สำหรับพันธุ์กาแฟที่มาปลูกที่นี่ ส่วนใหญ่แล้วพันธุ์กาแฟที่ใช้จะเป็นพันธุ์ Typica ซึ่งสามารถพบได้ในไร่กาแฟเกือบทุกไร่ อีกทั้งยังมีการเจริญเติบโตในป่าด้วย นอกจากนี้ยังมีพันธุ์ที่ได้รับความนิยมอีก คือ Yellow Caturra ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีกาแฟอีกหลากหลายพันธุ์ ที่ปลูกอยู่ทั่วหมู่เกาะฮาวาย ได้แก่ Red Caturra, Red Catuai, Red and Yellow Bourbon และ Maragogipeนอกจากนี้ยังมีกาแฟพันธุ์ Gesha ที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ในไร่กาแฟที่ค่อนข้างมีระบบการจัดการที่ดี มีทุนทรัพย์ที่สูง และมีเทคโนโลยีที่พร้อม และยังมีอีกสองพันธุ์กาแฟที่มีความโดดเด่น คือ Mokka และ Mundo Novo

ในรัฐฮาวายของสหรัฐอเมริกา ถึงจะไม่ได้เป็นแหล่งกาแฟที่เป็นแหล่งใหญ่ หากเทียบกับแหล่งปลูกกาแฟแหล่งอื่นของโลก แต่กาแฟในหมู่เกาะแห่งนี้ ก็นับว่ามีความโดดเด่น และมีชื่อเสียงเป็นเอกลักษณ์ มีการคาดการณ์ว่าจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมากมายในอีกหลายปีข้างหน้า และหวังว่าเราจะมีโอกาสได้ดื่มกาแฟฮาวายกัน หรือหากใครมีโอกาสได้ลิ้มลอง แล้วก็อย่าลืมชิมกาแฟแจกแหล่งกำเนิดแห่งนี้ ด้วยกาแฟที่มีเอกลักษณ์ มีความซับซ้อน ดังนั้นจึงนับว่าเป็นกาแฟที่คุ้มค่าจะลองมากเลยทีเดียว
ต้องขอบคุณสภาพภูมิอากาศ ดินที่ดี รวมถึงความหลากหลายอื่น ๆ ที่ทำให้มีกาแฟในหมู่เกาะแห่งเดียวถึงหลายแหล่ง โดยปัจจัยที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ อาจจะทำให้ในอนาคต ชื่อเสียงของฮาวายในฐานะแหล่งปลูกกาแฟ อาจจะมีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้นในอีกหลายปีข้างหน้า จะอย่างไรก็แล้วแต่ คุณจะซื้อกาแฟจากไหนในฮาวายก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดและห้ามลืมเลยก็คือ จะต้องซื้อกาแฟจากแหล่งที่เชื่อถือได้ กาแฟมีคุณภาพสูง และเรื่องของความเป็นธรรมกับเกษตรกร จำเป็นที่จะต้องมีด้วย เพื่อให้อุตสาหกรรมกาแฟได้เดินไปข้างหน้า