จากสถิติของกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา มีการเปิดเผยว่า การผลิตกาแฟในประเทศอินเดียในรอบปี 2022/23 มีอัตราเพิ่มขึ้น 3.8 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นตัวเลข 5.74 ล้านกระสอบ ด้วยตัวเลขที่มากถึงขนาดนี้ ทำให้ประเทศอินเดียกลายเป็นประเทศผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลกในปัจจุบัน พืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่งอย่างกาแฟนั้น กลายเป็นพืชผลที่หล่อเลี้ยงประชากรกว่า 250,000 คนในประเทศอินเดียเลยทีเดียว
ภูมิภาคปลูกกาแฟส่วนใหญ่ จะตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ และก็มีอยู่ในบางพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศด้วย
ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม 2022 ผู้ผลิตหลายรายทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย ได้เริ่มทำการเก็บเกี่ยวผลผลิตกาแฟของพวกเขา และยังมีผู้ผลิตอีกหลายรายจำนวนมาก ที่ได้ทำการเก็บเกี่ยวในอีกไม่กี่สัปดาห์ถัดไป แต่แล้วก็มีพายุไซโคลน เกิดขึ้นทางตอนใต้ของประเทศ ทำให้เกิดความเสียหายต่อพื้นที่ปลูกกาแฟขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ทั้งนี้รวมถึงเขต Tamil Nadu ด้วย

ด้วยเหตุพายุไซโคลนที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แต่เป็นปัญหาเรื่อยมาสำหรับเกษตรกรกาแฟชาวอินเดีย รวมถึงมีผลกับพืชผล ด้วยการเก็บเกี่ยวผลผลิตเหล่านี้ กับผลกระทบอันเกิดขึ้นจากพายุไซโคลน ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับวิธีการที่ภาคกาแฟของอินเดีย จะสามารถรับมือกับผลกระทบระยะกลาง และระยะยาวที่จะเกิดขึ้นได้อย่างไร และเรื่องใหญ่กว่านั้น จะสามารถรับมือกับเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนี้ได้อย่างไร วันนี้เราชวนคุณมา
ในบทความ จะพาคุณไปสำรวจผลกระทบของสภาพภูมิอากาศที่คาดเดาไม่ได้ ต่อเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในประเทศอินเดีย และยกให้เป็นกรณีศึกษา ถึงวิธีการฟื้นตัวหลังจากที่พายุไซโคลนเข้า เมื่อเร็วๆนี้ ประเทศอินเดียฟื้นตัวได้อย่างไร และวิธีการใดทำให้ภาคส่วนกาแฟของอินเดียฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้
ภาพรวมการผลิตกาแฟในอินเดีย
จากข้อมูลของคณะกรรมการกาแฟแห่งอินเดีย มีตัวเลขที่น่าสนใจระบุว่า ในระหว่างปี 2020-2021 มีการใช้พื้นที่มากกว่า 471,000 เฮกตาร์ สำหรับการปลูกกาแฟภายในประเทศ ประเทศอินเดีย มีการเติบโตทั้งกาแฟโรบัสต้าและอาราบิก้า
ตามแนวชายฝั่งตะวันออก และคาบสมุทรทางตอนใต้ของประเทศ มีพื้นที่ปลูกกาแฟ ที่เรียกว่าเป็นพื้นที่ปลูกกาแฟแบบ “ดั้งเดิม” และแบบที่ “ไม่ใช่แบบดั้งเดิม” 3 ภูมิภาคหลักที่ใช้ในการปลูกกาแฟภายในประเทศอินเดียได้แก่ Karnataka, Kerala และ Tamil Nadu ซึ่งทั้งหมดล้วนตั้งอยู่บริเวณทางตอนใต้ของประเทศ
ยังมีภูมิภาคที่มีขนาดเล็กอื่นอีก ที่ถูกเรียกว่า ภูมิภาคที่ไม่ได้เป็นภูมิภาคดั้งเดิม ตั้งอยู่ทางเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย เหตุที่เรียกแบบนั้นเพราะว่า ภูมิภาคนี้เป็นภูมิภาคที่ได้รับการพัฒนา และก่อตั้งขึ้นมาสำหรับผลิตกาแฟใหม่โดยเฉพาะ
ในอินเดียมีเกษตรกรรายย่อยมากกว่า 98 เปอร์เซ็นต์ของเกษตรกรกาแฟทั้งประเทศ นั่นก็หมายความว่า ผู้ผลิตเหล่านี้เป็นเจ้าของที่ดินจริง แต่ก็เป็นที่ดินที่มีขนาดเล็ก บางครั้งอาจจะไม่มีความสามารถในการเข้าถึง และทรัพยากรทางการเงิน อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนน้อยลง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เป็นแบบนี้เสมอไปอยู่ดี
ในภาคส่วน กาแฟอินเดีย ส่วนใหญ่นั้นมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้เนื่องจากอุณหภูมิที่เหมาะสม ด้วยสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศ ทำให้พืชสามารถเจริญเติบโตได้ในอุณหภูมิที่ค่อนข้างต่ำในอินเดีย อุณหภูมิต่ำหรืออุณหภูมิที่เย็นเหล่านี้ จะช่วยให้ผลเชอรี่สุกช้าลง ซึ่งแน่นอนว่าทำให้มีเวลามากขึ้นในการพัฒนาน้ำตาล และรสชาติอย่างเต็มที่ ในทางกลับกันสิ่งนี้หมายความว่า โดยทั่วไปแล้วกาแฟอินเดียจะเต็มไปด้วยความสมบูรณ์แบบ และมีรสชาติที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
ผลกระทบต่อพายุเมื่อเร็วๆนี้ กับการเก็บเกี่ยวกาแฟในอินเดีย
จากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศอินเดีย มีแนวโน้มอยู่แล้วที่จะประสบกับสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน และค่อนข้างที่จะรุนแรง พายุไซโคลนเป็นหนึ่งในปัญหาหลักที่เกษตรกรชาวอินเดียจะต้องเผชิญ
ทำความเข้าใจเรื่องของพายุไซโคลนง่ายๆ พายุไซโคลนเป็นเหมือนพายุขนาดใหญ่ ซึ่งหมุนรอบแกนของความดันบรรยากาศต่ำ โดยทั่วไปแล้วจะทำให้เกิดลมที่ค่อนข้างรุนแรง และปริมาณน้ำฝนที่ค่อนข้างหนัก ซึ่งแน่นอนว่ามันส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประชากรในเมือง และในชนบท การที่พายุไซโคลนนี้รุนแรงมากขึ้นไปอีก ก็เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2022 พายุไซโคลน Mandous พายุโซนร้อนที่รุนแรงที่สุดเป็นอันดับ 3 ของฤดูกาล ที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรอินเดียทางตอนเหนือในปี 2022 สิ่งนี้ส่งผลให้มีฝนตกหนัก และมีลมพัดศูนย์ทึ่ง 65-85 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และกินเวลาทั้งเดือน
ในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2022 พื้นที่บางส่วนของภูมิภาคที่ปลูกกาแฟทางตอนใต้ของอินเดีย มีปริมาณน้ำฝนสูงขึ้น 3 นิ้วในหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งทำให้เกิดปัญหามากมายตามมา และเกิดปัญหาสำหรับผู้ผลิตกาแฟด้วย

ปัญหาที่เกิดขึ้น กับผู้ผลิตในท้องถิ่น
Sundaresh ผู้ผลิตกาแฟบนพื้นที่ Pathinipara Estate, Pampadumpara ในรัฐทางใต้ของ Kerala ได้รับผลกระทบคือ ปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้น 2.5 นิ้วในเวลาเพียงแค่ 5 วันเท่านั้น เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตมา นำผลเชอร์รี่มาแช่น้ำ พบผลเชอร์รี่แห้งที่มีน้ำหนักเบากว่ามาตรฐานลอยอยู่เหนือน้ำเพิ่มขึ้น จากเดิม 7 เปอร์เซ็นต์เป็น 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่เลย
การที่มีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นในช่วงการออกดอกและระยะการสุกของผลเชอร์รี่ ค่อนข้างที่จะมีผลกระทบต่อการพัฒนาสุขภาพของผลเชอร์รี่กาแฟ แต่ปัญหาไม่ได้อยู่แค่นั้น อีกปัญหาหนึ่งที่เกษตรกรต้องเผชิญก็คือ ไม่สามารถที่จะทำให้ผลเชอร์รี่แห้งได้ง่าย เนื่องจากการมีสภาพอากาศที่ชื้น และมีฝนตกอยู่ตลอด
เกษตรกรบางคน ก็มองว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ที่การมีสภาพอากาศที่ไม่แน่นอนเกิดขึ้น ปัจจุบันมันได้กลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้นเรื่อยๆไปแล้ว การเกิดพายุไซโคลน และรูปแบบสภาพอากาศที่รุนแรงอื่น มีอัตราการเกิดขึ้นที่สม่ำเสมอมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ เกษตรกรบางรายจึงมองว่า อาจจะต้องทำการปรับตัว ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ติดตามสภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างหลากหลายมากขึ้นนี้
รูปแบบของสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน อาจจะส่งผลต่อระยะการสุกในลักษณะอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น โดยปกติแล้วผลเชอร์รี่ เมื่อสุกเต็มที่หรือสุกงอม ผลเชอร์รี่เหล่านี้จะร่วงลงสู่พื้น การที่เกิดพายุ ทั้งผลเชอร์รี่ที่สุกและยังไม่สุก อาจจะร่วงลงสู่พื้นและแตกออกได้
Pranathi Shetty ผู้ผลิตกาแฟที่ Kolliberri the Coffee Farm ใน Karnataka บอกว่าฝนที่ตกหนักจากประยุกต์ไซโคลน ได้ทำการเร่งกระบวนการการสุกงอมของพืชหลากหลายชนิด ทั้งนี้รวมถึงกาแฟด้วย เขาได้ทำการเก็บพืชผลไปแล้วกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ เมื่อตอนที่มีพายุไซโคลนพัดกระหน่ำ หลังจากนั้นเชอรี่ทั้งหมดก็สุก แม้กระทั่งลูกที่เมื่อกึ่งสุกกึ่งดิบเมื่อสัปดาห์ก่อน
การที่เป็นแบบนี้ และก็เนื่องจากระดับความชื้นที่สูงขึ้น และปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้นด้วย พลชื่อรีบบางส่วนที่ยังคงติดอยู่กับกิ่งไม้ก็ได้ทำการแตกออก
สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างไรต่อเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ
เกษตรกรกลุ่มหนึ่ง ได้ทำการเก็บเกี่ยวผลผลิต 1 สัปดาห์ก่อนที่พายุไซโคลนจะเข้า พันธุ์กาแฟบางพันธุ์ได้รับผลกระทบ อย่างเช่น Chandragiri ที่ยังไม่ถึงเวลาที่ผลเชอร์รี่จะสุก แต่แล้วมันก็สุกเร็วกว่ากำหนดนานมาก เนื่องจากปัญหาสภาพอากาศที่ว่ามานี้ ยิ่งไปกว่านั้น มีผลเชอร์รี่จำนวนมากที่ทำการแตกกิ่ง และเมื่อโดนแสงแดด กิ่งเหล่านี้ก็แห้งคาต้น
ด้วยระยะเวลาการออกดอก และการสุกที่สั้นลงนี้ หมายความว่าเชอร์รี่จะดูดซับสารอาหารได้น้อยลง ซึ่งปัญหานี้อาจจะส่งผลร้ายต่อชาวไร่ กาแฟอินเดีย เป็นอย่างมาก แน่นอนว่ามันทำให้คุณภาพลดลง ถึงแม้ว่าจะได้ผลเชอรี่เพิ่มมากขึ้นก็ตาม นี่นับว่าเป็นความหายนะทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้นทุนการผลิต และปัจจัยการผลิตอื่นเพิ่มขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิต ที่ได้ลงทุนในกาแฟสูง นำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ ปฏิบัติตามแนวทางการเกษตรที่ดีและถูกต้อง
หรือแม้แต่การเก็บผลเชอร์รี่ที่ล่วงหล่นลงจากต้น เพียงแค่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นการเพิ่มต้นทุนแรงงานประมาณ 5 เท่าตัว และเชอร์รี่ทั้งหมดที่เก็บมาได้ก็ไม่สามารถนำไปโปรเซสต่อได้ทั้งหมด เหตุผลที่ต้องเก็บผลเชอรีสที่ร่วงหล่นเหล่านี้ให้เร็วที่สุด ก็เนื่องจากหลีกเลี่ยงการเจริญเติบโตของเชื้อราและศัตรูพืช นั่นเท่ากับการต้องลงทุนเงินมากยิ่งขึ้น เพื่อจ้างคนเก็บผลเชอร์รี่มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้แล้ว คนเก็บผลเชอร์รี่ในอินเดีย จะได้รับค่าจ้างต่อเชอรี่ 1 กิโลกรัม ดังนั้นเมื่อเชอรี่บวม เชอรี่ก็จะหนักขึ้น นั่นทำให้ผู้ผลิตจะต้องจ่ายเงินมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ต่ำลง
การสนับสนุนผู้ผลิตในท้องถิ่น
เป็นที่ทราบอย่างชัดเจนแล้วว่า สภาพอากาศที่แปรปรวนและรุนแรงนี้ ทำให้เกิดปัญหามากมายสำหรับชาวไร่กาแฟในอินเดีย และยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากสภาพอากาศที่เปียกชื้น อาจนำไปสู่ความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นมากยิ่งขึ้นในอนาคต

เพื่อต่อสู้กับปัญหาเหล่านี้ เกษตรกรและผู้ผลิตชาวอินเดีย ได้ดำเนินการหลายสิ่งหลายอย่างขึ้น สิ่งที่พวกเขาจัดการกับปัญหานี้ได้แก่ การใช้พัดลมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เพื่อให้ผลกาแฟแห้งเร็วมากขึ้น การคลุมต้นเชอร์รี่และกาแฟที่เก็บเกี่ยว เพื่อป้องกันฝนตกหนัก ประกาศจ้างคนงานเพิ่มมากยิ่งขึ้น เพื่อให้คนงานในฟาร์มสามารถกว่า และกระจายกาแฟได้อย่างสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น และนั่นทำให้กาแฟแห้งเร็วมากยิ่งขึ้นด้วย
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เนื่องจากกาแฟอินเดียส่วนใหญ่ปลูกอยู่ในที่ร่ม ต้นกาแฟจึงช่วยป้องกันธรรมชาติจากน้ำฝนตกหนักและลงแรงได้ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว รวมถึงลดการพังทลายของหน้าดินได้ด้วย
ถึงอย่างไรก็ตาม การปรับปรุงความยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศ ของภาคกาแฟในอินเดีย ถือเป็นสิ่งสำคัญและเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ เพื่อนำมาปรับปรุงต่อในอนาคต นั่นหมายความว่า อาจจะต้องมีการลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานที่มากยิ่งขึ้น เพื่อสามารถที่จะทำให้เก็บเกี่ยวผลเชอร์รี่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เพียงแค่นั้น จะต้องมีมาตรการรองรับ กับกระบวนการหลังการเก็บเกี่ยวด้วย
ทำความเข้าใจ เรื่องของผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ตามรายงานล่าสุดของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาล ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติพบว่า ประเทศอินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่เปราะบางต่อสภาพอากาศมากที่สุดในโลก มีประมาณการชี้ให้เห็นว่า การที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น ทำให้ GDP ของประเทศลดลง 16 เปอร์เซ็นต์ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ในภาคการเกษตรมีความเสี่ยงมากที่สุด
ดังนั้นสิ่งที่เกษตรกรชาวอินเดียทำ คือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ดีขึ้น เพื่อป้องกันผลผลิตลดลง แน่นอนว่าไม่สามารถที่จะแก้ไขความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือการเตรียมการให้ดียิ่งขึ้น และนี่จะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้อินเดียก้าวไปข้างหน้า
หนึ่งในแนวทางแก้ไข คือการพัฒนาพันธุ์กาแฟ และเผยแพร่พันธุ์กาแฟที่ทนทานต่อสภาพอากาศได้มากยิ่งขึ้น ให้เกษตรกรในทุกภาคส่วนกาแฟของอินเดีย มีองค์กรมากมาย ได้ทำการเปิดตัวโครงการใหม่มากมาย เพื่อสนับสนุนสิ่งนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็คงต้องศึกษา และต้องทำการวิจัยกันให้มากขึ้น
พันธุ์กาแฟใหม่ที่จะเกิดขึ้นนี้ จะสามารถช่วยปรับปรุงผลผลิตในอินเดีย ในขณะเดียวกัน ก็จะสามารถรับมือกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ด้วยเหมือนกัน

จากสิ่งที่เกิดขึ้นในอินเดีย ผลกระทบที่เพิ่มขึ้นของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นั่นหมายความว่าสภาพอากาศในอินเดีย รวมถึงประเทศผู้ผลิตกาแฟอื่นทั่วโลก จะยังคงแปรปรวน และจะยิ่งแปรปรวนมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปในอนาคต สภาพอากาศเช่นนี้ เป็นสภาพอากาศที่อาจเกิดขึ้นเป็นประจำ และมันจะเกิดมากขึ้นทั่วโลก ฤดูมรสุมจะยิ่งนานขึ้น สภาพภูมิอากาศที่คาดเดาไม่ได้จะมีมากขึ้น ปริมาณน้ำฝนจะเพิ่มมากขึ้นทุกปีเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทั่วทั้งอุตสาหกรรมกาแฟจะต้องเผชิญ ไม่ใช่เพียงแค่ประเทศอินเดียเท่านั้น แต่ทุกคน ในที่นี้หมายถึงทุกประเทศมีส่วนร่วม เพราะผลกระทบจะไม่เกิดขึ้นที่อินเดียทีเดียวแน่นอน แน่นอนว่ามันเกิดขึ้นทั่วโลก เมื่อมันยิ่งหนักและรุนแรงมากยิ่งขึ้น เราก็ต้องพร้อมมากยิ่งขึ้นที่จะตอบรับกับสถานการณ์ที่เราคาดเดาไม่ได้เหล่านี้