ในปัจจุบันนี้ การบริโภคากแฟที่ปราศจากคาเฟอีนถือเป็นเทรนด์ใหม่ที่ใคร ๆ ต่างก็ให้ความสนใจกัน ไม่เพียงแค่กาแฟปราศจากคาเฟอีน หรือ Decaf เพียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพยายามลดปริมาณคาเฟอีนในกาแฟลง หรือเลือกเป็น กาแฟคาเฟอีนต่ำ โดยธรรมชาติอยู่แล้ว ถึงแม้หลายคนจะรู้สึกว่า การบริโภคคาเฟอีนนั้นจะไม่เสียหาย และไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ แต่ก็ยังมีผู้คนกลุ่มหนึ่งที่พยายามจะงดเว้นสารตัวนี้ หลายคนเลือกที่จะดื่มกาแฟ Decaf ที่จะใช้วิธีการบางอย่างในการสกัดเอาคาเฟอีนออกจากกาแฟไปจนหมด หรืออย่างน้อยก็เกือบหมด
หลายคนรู้สึกว่า สิ่งนี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือและไม่ปลอดภัยนัก ดังนั้นจึงลองหาพกกาแฟที่มีคาเฟอีนต่ำอยู่แล้วตามธรรมชาติดู ซึ่งก็มีพันธุ์กาแฟที่น่าสนใจ ที่มีคุณสมบัติแบบนี้อยู่แล้ว นั่นคือ กาแฟพันธุ์ Laurina กาแฟพันธุ์นี้ถือว่าเป็นพันธุ์กาแฟที่มีระดับของคาเฟอีนต่ำที่สุดในโลก ได้มีการหยิบเอากาแฟพันธุ์นี้มาฟื้นฟูในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เนื่องจากเทรนด์ที่กำลังมานี้เอง แม้ว่ากาแฟพันธืนี้จะเป็นก้แฟพันธุ์ที่ถูกค้นพบมาตั้งแต่ 2 ทศวรรษก่อนก็ตาม
นอกจากกาแฟ Laurina จะเป็นกาแฟที่มีปริมาณคาเฟอีนต่ำกว่าอาราบิก้าทั่วไปถึงครึ่งหนึ่งแล้ว กาแฟพันธุ์นี้ยังเป็นกาแฟที่ให้รสชาติที่ยอดเยี่ยม ด้วยรสชาติที่ยอดเยี่ยมนี้ ทำให้สามารถชนะงานแข่งขันกาแฟในปี 2018 เป็นการการันตีความดีงามของกาแฟ Laurina ด้วย

และวันนี้ เราจะไปทำความรู้จัก กาแฟ Laurina กาแฟที่ได้ชือว่า เป็นกาแฟคาเฟอีนต่ำ หรือเป็นกาแฟทางเลือกใหม่สำหรับหลาย ๆ คนกัน ถึงเรื่องของประวัติศาสตร์อันยาวนาน ต้นกำเนิด รวมถึงศักยภาพของ Laurina ที่มากพอสำหรับตลาดกาแฟในปัจจุบัน
ต้นกำเนิดของ Laurina
กาแฟพันธุ์ Laurina ถูกค้นพบครั้งแรก ในป่าบนเกาะ Réunion ในมหาสมุทรอินเดีย (เดิมชื่อว่า เกาะ Bourbon) Réunion เป็นเกาะที่เป็นดินแดนโพ้นทะเล ภายตาอาณานิคมของฝรั่งเศส ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเกาะมาดากัสการ์
ในช่วงปี 1600-1700 อัตราการบริโภคเพิ่มขึ้นทั่วยุโรป ชาวฝรั่งเศสได้พยายามปลูกกาแฟในดินแดนแถบฝรั่งเศสตะวันออก แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นแล้ว ฝรั่งเศสจึงได้ทำการมองหาพื้นที่อื่น ที่ซึ่งมีทั้งสภาพภูมิอากาศ และสภาพภูมิประเทศ บวกกับปัจจัยอื่น ๆ ที่เหมาะสมในการปลูกกาแฟ
ในช่วงปี 1715 ชาวอาณานิคมฝรั่งเศส ได้ทำการนำกาแฟจาก Mocha ในเยเมน ไปยังเกาะ Réunion กาแฟพันธุ์ที่นำเข้ามายังเกาะ คือกาแฟ Bourbon หนึ่งในพันธุ์กาที่มีความหลากหลายทางพันธุกรรมมากที่สุดในโลก โดยได้ทำการส่งต้นกาแฟ 20 ต้นไปยังเกาะแห่งนี้ แต่ก็มีเพียงต้นกาแฟต้นเดียวเท่านั้นที่ให้ผลผลิต แต่แล้วในปีต่อมา ผลผลิตกาแฟบนเกาะก็เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากในตอนนั้น การผลิตกาแฟส่วนใหญ่บนเกาะ Réunion เป็นกาแฟ Bourbon นั่นเองทำให้พันธุ์กาแฟพื้นเมืองถูกละเลย ไม่ใช่แค่กับเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟดท่านั้น แต่กับนักวิจัยยังละเลยกาแฟพื้นเมืองเหล่านี้ด้วย ในปี 1783 ในที่สุดก็ได้ทำการหยิบกาแฟพื้นเมืองเหล่านี้มาทำการวิจัย และกาแฟสายพันธุ์เหล่านี้ก็มีชื่อ และได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ ในตอนแรกนั้น สายพันธุ์กาแฟพื้นเมืองของที่นี่ ได้ชื่อว่า Coffea Mauritiana เนื่องจากเกาะแห่งนี้ มีที่ตั้งใกล้กับประเทศ Mauritius แต่ถึงจะได้รับความสนใจอยู่บ้าง แต่เกษตรกรและบรรดาผู้ผลิตก็ยังให้ความสนใจ และนิยมที่จะปลูก Bourbon กันมากกว่า
ได้มีหลักฐานจาก พิพิธภัณฑ์ Réunion กล่าวไว้ว่า ในช่วงปี 1810 เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟได้ทำการสังเกตเห็นการค่อย ๆ กลายพันธุ์ของกาแฟ Bourbon ทำให้พันธุ์กาแฟชนิดใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นบนเกาะแห่งนี้ พืชกาแฟชนิดใหม่นี้ให้ผลเชอรี่ที่เล็กกว่า อีกทั้งผลและเมล็ดยังมีลักษณะเป็นทรงรี ดังนั้นตอนนั้นจึงเรียกกาแฟ Bourbon ใหม่นี้ว่า “bourbon pointu” ในขณะนั้นเอง มีความเชื่อว่า กาแฟชนิดใหม่ที่ถือกำเนิดนี้ เป็นลูกผสมที่เกิดจากการผสมกันของกาแฟพื้นเมืองบนเกาะ Réunion กับกาแฟ Bourbon ที่ได้มาจากเยเมน
ส่วนหนึ่งก็เชื่อกันแบบนั้น แต่จากเอกสารการวิจัยางวิทยาศาสตร์ La Réunion: a historical and scientific perspective บอกไว้ว่า กาแฟ Bourbon pointu ouh เกิดขึ้นจากการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติของตัว Bourbon เพียงเท่านั้น เนื่องจากมีพันธุกรรมที่เหมือนกันมาก
แล้วชื่อ Laurina มาจากไหน มีคนกล่าวกันมาว่า ชื่อ Laurina นี้ มาจากลักษณะของต้นกาแฟ ที่มีความคล้ายคลึงกับต้น laurel หรือต้นกระวานฝรั่ง เป็นไม้พุ่มที่มีลักษณะสีเขียวชอุ่มตลอดทั้งปี มีใบขนาดใหญ่รูปไข่ ผู้ผลิตท้องถิ่นบางรายยังเรียกกาแฟพันธุ์นี้ว่า Le Roy ซึ่งเป็นชื่อของเกษตรกรคนแรกที่ค้นพบกาแฟพันธุ์นี้ การเรียกชื่อนี้ก็เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้ค้นพบ

ลักษณะของต้นกาแฟ Laurina
ต้นกาแฟพันธุ์ Laurina จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับต้นคริสมาสต์ คือมีใบที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก มีกิ่งก้านที่ค่อนข้างหนาแน่น และผลเชอรี่มีลักษณะปลายแหลม
หากจะกล่าวให้ชัดเจนก็คือ Laurina เกิดจากการกลายพันธุ์ลักษณะแคระของ Bourbon นั่นหมายถึง ต้นกาแฟจะมีขนาดที่ค่อนข้างเล็ก ลักษณะการกลายพันธุ์แคระเหล่านี้เอง สามารถที่จะพบด้มากในต้นกาแฟพันธุ์ที่กลายพันธุ์มาจากต้นของ Bourbon ได้แก่ กาแฟกันธุ์ Caturra, Villa Sarchi และ Pacas โดยปกติทั่วไปแล้ว กาแฟแคระพันธุ์ Laurina นี้จะสูงอยู่ที่ประมาณ 2 เมตร หรือเพียงแค่ 8 ฟุตเท่านั้น
การที่ต้นกาแฟมีลักษณะแคระและมีขนาดเล็กนี้เอง เรียกได้ว่าเป็นประโยชน์กับเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟเป็นอย่างมากเลยทีเดียว เนื่องจากชาวสวนสามารถที่จะปลูกกาแฟในระดับที่หนาแน่นขึ้นได้ อีกทั้งยังสามารถที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ง่ายกว่าด้วย แต่อย่งไรก็ดี กาแฟพันธุ์ Laurina นี้ ยังมีความอ่อนไหวต่อสิ่งต่าง ๆ มากกว่ากาแฟพันธุ์อื่น ๆ ดังนั้น จำเป็นที่จะต้องทำการเก็บเกี่ยวอย่างระมัดระวัง ผลเชอรี่มีแนวโน้มที่จะร่วงหล่นจากต้นได้ง่าย หากมีฝนตกหนัก
จะบอกว่าเป็นได้ทั้งจุดเด่น และก็เป็นทั้งจุดอ่อนของกาแฟพันธุ์นี้ด้วย ด้วยปริมาณคาเฟอีนที่ต่ำของ Laurina เอง ทำให้เป็นอันตรายต่อการเจริญเติบโตเสียเอง คาเฟอีนนั้น ตามธรรมชาติจะทำหน้าที่ในการยับยั้งแมลงศัตรูพืชได้ ดังนั้น ระดับคาเฟอีนในต้นกาแฟที่ลดลงนี้เอง จะส่งผลต่อต้นกาแฟ ทำให้ต้นกาแฟอ่อนแอ และทำให้เกิดความเสียหายได้มากขึ้น แต่ถึงจะเนแบบนั้น แต่เกษตรกรก็เชื่อกันว่า กาแฟพันธุ์นี้สามารถที่จะทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดีกว่า ซึ่งช่วยให้สามารถอยู่รอดได้ในฤดูแล้ง
นักวิจัยที่ได้นำกาแฟ Laurina เข้าไปปลูกในฮาวายบอกว่า กาแฟพันธุ์นี้มีอัตราการเติบโตช้ากว่า หากนำมาเทียบกับอาราบิก้าพันธุ์อื่น ๆ สิ่งนี้ส่งผลต่อการมีอยู่ของกาแฟพันธุ์นี้ในตลาดกาแฟด้วย ทำให้สามารถหาดื่มได้ยากขึ้น และมีออกมาน้อยลง แต่ในทางกลับกัน ผลผลิตเชอรี่ต่อต้นของกาแฟ ดันได้มากกว่าอาราบิก้าพันธุ์อื่น ๆ ดังนั้นจึงมีความสมดุลกันของทั้งสองปัจจัยนี้ จะว่าไปก็มีความโน้มเอียงไปทางการขยายขนาดของการผลิต ที่สามารถทำได้มากกว่า
การฟื้นฟูพันธุ์
การผลิตกาแฟพันธุ์ Laurina เริ่มที่จะลดลงในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จนแทบจะเรียกได้ว่า กาแฟพันธุ์นี้ถูกทอดทิ้ง จนถึงขั้นเกือบจะสูญพันธุ์
การปลูกอ้อย ได้เข้ามาแทนที่การปลูกกาแฟ Laurina บนเกาะ Réunion เนื่องจากพืชอ้อยสามารถที่จะทำกำไรได้มากกว่า ดังนั้น กาแฟที่จะสามารถหาได้ที่นี่ จะเป็นกาแฟป่าเพียงเท่านั้น เนื่องจากการปลูกกาแฟในไร่หายไปแล้ว
ผู้ที่เริ่มฟื้นฟูพันธุ์ คือนักปฐพีวิทยากาแฟที่มีชื่อว่า José Yoshiaki Kawashima ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง MI CAFETO Co. Ltd ในประเทศญี่ปุ่นด้วย ก่อนหน้านี้ เขาเคยศึกษาเกี่ยวกับกาแฟที่ สถาบันวิจัยกาแฟแห่งชาติเอลซัลวาดอร์ (National Coffee Research Institute of El Salvador) และได้เคยร่วมงานกับ UCC Ueshima Coffee Co. เพื่อทำการก่อตั้งไร่กาแฟและทำการวิจัยกาแฟในจาไมก้า ฮาวาย และบนเกาะสุมาตราในอินโดนีเซีย
José ได้รู้จักกาแฟ Laurina ครั้งแรกในปี 1975 ระหว่างเขาศึกษาอยู่ เขาก็อยากทำความรู้จักกับกาแฟพันธุ์นี้มากขึ้น จึงได้เดินทางไปยังเกาะ Réunion ในที่สุดเขาก็ได้เดินทางไปยังเกาะแห่งนี้ครั้งแรก และได้ทำการพูดคุยกับผู้อำนวยการด้านการเกษตรของที่นั่น José ได้บอกถึงความสำคัญของเกาะแห่งนี้ ต่ออุตสาหกรรมกาแฟในภาพใหญ่ ชี้ให้คนที่นั่นเห็นความสำคัญของกาแฟของตน แถมยังบอกอีกว่า หากเขามีโอกาสได้ ศึกษากาแฟพันธุ์นี้ เขาจะสามารถพัฒนาพันธุ์กาแฟให้ดีขึ้นได้
ในช่วงแรกที่ José และทีมได้ทำการค้นหากาแฟพันธุ์นี้บนเกาะ ในตอนนั้นกลับไม่พบกาแฟพันธุ์นี้เสียแล้ว ก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากเกาะแห่งนี้ เขาถอดใจ และได้ทำการทิ้งข้อมูลที่เคยศึกษาเกี่ยวกับกาแฟ Bourbon pointu ทิ้งไว้บนเกาะ ก่อนที่จะเดินทางกลับมายังฮาวาย สองเดือนต่อมา ผู้อำนวยการด้านการเกษตรของเกาะแห่งนี้ได้เรียกตัวเข้าให้กลับไปยังเกาะ พร้อมกับบอกว่า ได้พบต้นกาแฟพันธุ์นี้กว่า 30 ต้น ถูกปลูกอยู่ในป่า

ไม่กี่ปีต่อมาในช่วงปี 2001 รัฐบาลของ Réunion ได้ตัดสินใจนำเขาเข้ามาพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟใหม่บนเกาะ โดยได้รับการสนับสนุนจาก ศูนย์วิจัยการเกษตรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ Agricultural Research Centre for International Development (CIRAD) และสถาบันวิจัยแห่งชาติเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน National Research Institute for Sustainable Development (IRD) ในปี 2002 ก็ได้เริ่มทำการเพาะปลูกกาแฟทั่วทั้งเกาะ
José และทีมได้ทำการคัดเลือกเกษตรกรอาสาสมัครทั่วเกาะ ผ่านประกาศทางวิทยุ เกษตรกรกว่า 300 คนตอบรับการชักชวนในครั้งนี้ และก็ได้มีเกษตรกรผู้ผ่านการคัดเลือก ได้เข้าร่วมการทดลองครั้งนี้กว่า 105 คน จากในตอนแรกที่ค้นพบกาแฟเพียงแค่ 30 ต้น มาในตอนนี้สามารถนำต้นกล้ากาแฟกว่า 50,000 ต้นลงดินได้สำเร็จ พื้นที่เพาะปลูกกาแฟแต่ละแห่งบนเกาะนั้น มีพื้นที่อยู่เพียงแค่ประมาณ 1,000 ตารางเมตร José และทีมงานได้ทำการติดตาม อีกทั้งยังทำการประเมินอัตราการเจริญเติบโตของต้นกาแฟอย่างละเอียด รวมถึงปริมาณคาเฟอีนที่กาแฟสามารถผลิตได้ด้วย และสิ่งที่สำคัญที่สุด ยังทำการตรวจสอบรสชาติของกาแฟอยู่ตลอด
เพียงช่วงเวลาไม่นาน ภายในสิ้นปี 2006 มีการผลิต green bean รวมกันได้มากถึง 800กิโลกรัม José ได้คัดเลือกกาแฟที่ดีที่สุดจากในนั้น และได้ทำการส่งออกนอกก็ไปมากถึง 200 กิโลกรัมจากทั้งหมด ซึ่งใช้เวลาไม่นาน เวลาที่ใช้ในการขายกาแฟได้ทั้งหมดเพียงแค่ 1 สัปดาห์เพียงเท่านั้น ราคาที่ขายได้อยู่ที่ประมาณ 70 เหรียญสหรัฐต่อ 100 กรัม
กาแฟ Laurina ถูกนำไปปลูกที่อื่นหรือไม่
ถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะกล่าวถึงกาแฟ Laurina ที่ถูกปลูกและเติบโตบนเกาะ Réunion เพียงเท่านั้น แต่ยังมีกาแฟพันธุ์นี้ที่ถูกนำไปปลูกที่อื่นด้วย อันที่จริงแล้ว มีกาแฟพันธุ์นี้ถูกปลูกอยู่ในประเทศบราซิล ซึ่งปลูกกาแฟพันธุ์นี้มานานกว่า 20 ปีแล้ว
กาแฟพันธุ์ Laurina ถูกนำเข้ามาปลูก ในประเทศบราซิลเป็นครั้งแรก ในช่วงประมาณศตวรรษที่ 19 ในปี 1932 โดยทีมนักวิจัยของ Instituto Agronômico de Campinas (IAC) ได้ทำการศึกษากาแฟพันธุ์นี้อยู่นานแล้ว โดยได้ทำการศึกษาในไร่กาแฟตัวอย่าง ที่ Daterra Coffee ไร่กาแฟขนาดใหญ่ในบราซิล ซึ่งมีพื้นที่กว่า 2,800 เฮกตาร์
ไม่ใช่เพียงแค่หน่วยงานเดียวเท่านั้น หน่วยงานนี้ยังได้ทำการร่วมมือกับ illycaffè และ IACเพื่อทำการวิจัยกาแฟพันธุ์นี้ โดยได้มีการปลูกกาแฟบนพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 6 เฮกตาร์ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ทางไร่กาแฟ ได้ทำการปรับปรุงพันธุ์กาแฟมาตลอด จนในที่สุดก็สามารถทำการปรับปรุงพันธุ์ ให้สามารถเข้ากันได้กับสภาพอากาศในพื้นที่
แต่ก็ยังมีความท้าทายในไร่กาแฟตัวอย่างนี้อยู่ ทางไร่พยายามที่จะเพิ่มผลผลิตกาแฟมากขึ้นในอนาคต แต่ถึงอย่างนั้นในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถที่จะเพิ่มผลผลิตได้อย่างเต็มที่ ได้มีการทดลองที่หลากหลาย มีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละรอบ แต่ในปัจจุบันที่ปลูกกาแฟพันธุ์นี้ค้นพบว่า ทุกครั้งที่ทำการปลูกกาแฟ จะมีกาแฟกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ที่จะตายในปีแรกที่ปลูก ซึ่งก็เป็นความท้าทายที่ทางไร่กาแฟจะต้องแก้ไขกัน
ซึ่งอัตราการตายของต้นกาแฟนี้ นับว่าค่อนข้างสูงกว่ากาแฟอาราบิก้าทั่วไปอย่างมีนัยยะสำคัญ สาเหตุหลักๆก็เนื่องมาจากปริมาณคาเฟอีนที่มีน้อยโดยธรรมชาติของกาแฟพันธุ์นี้อยู่แล้ว ในเรื่องของการดูแล และการกำจัดศัตรูพืช รวมถึงดูแลไม่ให้เกิดโรคภัยต่าง ๆ ก็ค่อนข้างมีความสำคัญไม่น้อยเช่นเดียวกัน ทางไร่กาแฟแห่งนี้ ทำการล่อแมลง โดยการดักจับแมลงศัตรูพืชอยู่ตลอด เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ยังเห็นข้อดีของกาแฟพันธุ์นี้อยู่ข้อหนึ่ง คือความสามารถในการทนความแห้งแล้ง ซึ่งจะทนความแล้งได้ดีกว่ากาแฟอาราบิก้าพันธุ์อื่น ๆ นับว่าเป็นอีกหนึ่งข้อดีเหมือนกัน
ยังมีการสังเกตเกี่ยวกับกาแฟพันธุ์นี้อีกว่า กาแฟจะสามารถเติบโตได้ดีกว่า หากนำไปปลูกในร่ม ดังนั้นไร่กาแฟแห่งนี้ จึงปลูกกาแฟ Laurina ส่วนใหญ่กันใต้ร่มไม้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผลผลิตของกาแฟมีคุณภาพ อย่างน้อยก็มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ตลาดสำหรับกาแฟ Laurina
อย่างที่บอกว่า กาแฟคาเฟอีนต่ำกำลังจะกลายเป็นเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มีผู้คนกลุ่มหนึ่งที่พยายามที่จะตัดคาเฟอีน แต่ก็ยังคงยากที่จะดื่มกาแฟอยู่ดี และยังคงเกิดความกังวล เกี่ยวกับกาแฟประเภทที่ปราศจากคาเฟอีนเลย เนื่องจากกระบวนการที่จะทำให้กาแฟปราศจากคาเฟอีนนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องผ่านกระบวนการ ที่อาจมีการเจือปนสารต่าง ๆ กาแฟคาเฟอีนต่ำโดยธรรมชาติจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากกว่า
กรณีศึกษา ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนีย Moon Mountain ซึ่งจุดขายหลักของร้านกาแฟนี้ คือกาแฟคาเฟอีนต่ำ นำกาแฟพันธุ์ Laurina มาขาย กาแฟที่นำมานี้เป็นกาแฟนำเข้าจากบราซิล มีผู้คนมากมายเดินทางไกลมาเพื่อจะซื้อกาแฟ Laurina จากที่นี่ ซึ่งมีความน่าสนใจอยู่มาก เหตุที่ร้านกาแฟแห่งนี้มีชื่อเสียงขึ้นมาในเรื่องของกาแฟ Laurina เนื่องจากทางร้านเคยชนะการแข่งขันคั่วกาแฟ Golden Bean North America ในปี 2019
ถึงแม้จะกล่าวว่า กาแฟ Laurina อาจจะเรียกได้ว่าเป็นกาแฟทางเลือก ที่หลายคนมักจะใช้ดื่มทดแทนกาแฟปราศจากคาเฟอีน หรือ decaf แต่หากกลับกันแล้ว หลายคนมองว่ากาแฟปราศจากคาเฟอีน รสชาติที่ได้ ค่อนข้างที่จะไม่ประทับใจ และไม่ได้เหมือนกาแฟสักเท่าไหร่นัก กลับกันกาแฟ Laurina ยังคงความเป็นกาแฟอยู่ ด้วยรสชาติที่ยอดเยี่ยม แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้คั่วกาแฟที่มีฝีมือด้วย
รสชาติของกาแฟ อาจจะเป็นรสชาติที่เราอาจจะไม่ได้พบเจอในกาแฟหลาย ๆ พันธุ์ และไม่อาจพบเจอได้ง่าย ๆ ในกาแฟบราซิล อาจจะไม่ค่อยถูกใจสายฮาร์ดคอร์มากนัก โดยธรรมชาติแล้วกาแฟพันธุ์นี้จะค่อนข้างมีความสว่าง ความหวาน มีความละเอียดอ่อนอยู่ภายใน บอดี้จะค่อนข้างบ้าง มีกลิ่นของซิตรัส และมีความขมในปริมาณที่เล็กน้อยเพียงเท่านั้น

อย่างที่บอกไปว่า กาแฟพันธุ์นี้ หากเทียบกับกาแฟอื่น ๆ ที่มีอยู่มากมายและถูกนำไปปลูกในหลากหลายที่ และเทียบกับทั้งอุตสาหกรรม นับว่าเป็นกาแฟที่มีค่อนข้างน้อยเลยทีเดียว ดังนั้นของที่มีน้อย และเป็นที่ต้องการของตลาดสูง จึงต้องมีราคาที่สูงเป็นธรรมดา ในปี 2016 ร้านกาแฟแห่งนี้เคยประมูลเมล็ดกาแฟ Laurina แบบ anaerobic ในราคาอยู่ที่ 58 เหรียญสหรัฐต่อปอนด์ นับว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างสูงในเวลานั้น สำหรับกาแฟบราซิลเลยทีเดียว
และในช่วงไม่กี่ปีมานี้ยิ่งแล้วใหญ่ ความต้องการในกาแฟพันธุ์นี้ในตลาด พุ่งสูงขึ้นมาก ส่วนใหญ่ เหตุที่กาแฟพันธุ์นี้มีราคาพุ่งสูงขึ้น และเป็นที่ต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้นไปอีก ก็มาจากการแข่งขันกาแฟระดับโลก ที่มีโอกาสให้กาแฟพันธุ์นี้ได้ไปเฉิดฉาย และทำให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นในวงกว้าง ตัวอย่างเช่น ในปี 2018 Emi Fukahori จาก MAME Coffee ชนะการแข่งขัน World Brewers Cup โดยใช้กาแฟ Laurina แบบ anaerobic
ไม่ใช่แค่กาแฟพันธุ์นี้ ที่เป็นที่ต้องการของคนในวงกว้างมากขึ้น ผู้คนไม่ได้เรียกร้องหรือต้องการกาแฟ Laurina เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่กลายเป็นความต้องการกาแฟคาเฟอีนต่ำ ที่เพิ่มขึ้นไปพร้อมกัน
Laurina เป็นกาแฟที่มีความละเอียดอ่อนสูงมาก ดังนั้นผู้ที่จะนำกาแฟนี่ไปคั่ว จึงจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ในเรื่องของการเลือกโปรไฟล์การคั่ว การคั่วโอนอาจทำให้รสชาติกาแฟไม่ถึง และไม่ได้ถูกพัฒนาไปในทางที่ดีมากน่ะ อาจทำให้มีรสเปรี้ยวมากเกินไป ในขณะเดียวกัน การคั่วกลาง อาจจะสามารถดึงรสหวานตามธรรมชาติในกาแฟออกมาได้ ซึ่งอาจจะดีกว่าสำหรับกาแฟพันธุ์นี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับส่วนบุคคล ว่าจะชอบหรือไม่ชอบอย่างไร
มีข้อแนะนำการคั่วกาแฟพันธุ์นี้ จะมีจุดหนึ่งที่กาแฟจะมีรสหวาน ด้วยเมล็ดกาแฟที่มีขนาดเล็ก แต่กลับมีความหนาแน่นสูง ทำให้การคั่วค่อนข้างลำบาก และอาจมีเพียงจุดเล็ก ๆ เพียงจุดเดียวที่อาจจะดึงรสชาติหวานของกาแฟออกมาได้ โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งเมล็ดกาแฟมีความหนาแน่นและมีขนาดเล็กมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องใช้พลังงานในการคั่วมากเท่านั้น นั่นหมายความว่า ผู้ที่คั่วกาแฟจะต้องค่อนข้างมีฝีมือ และต้องระมัดระวังเป็นพิเศษมาก ๆ
แม้จะมีความท้าทายสูง ที่จะเลือกนำกาแฟพันธุ์นี้มาปลูก รวมถึงการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมนี้ แต่ก็เป็นโอกาสที่ดี สำหรับทั้งผู้ผลิตและผู้คั่ว ที่กำลังมองหากาแฟหายาก และน่าจะกลายเป็นที่ต้องการของกลุ่มคนเฉพาะกลุ่มที่ค่อนข้างใหญ่
ด้วยปริมาณคาเฟอีนที่ต่ำโดยธรรมชาติ ซึ่งนี่เองเป็นความโดดเด่น แต่ก็ยังคงซึ่งรสชาติที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่า กาแฟ Laurina น่าจะกลายมาเป็นที่ต้องการสูงขึ้น ของผู้บริโภคในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดกาแฟพิเศษ หรือกลุ่มกาแฟสเปเชียลตี้ทั้งหลาย คาดว่าเวลานั้นจะมาถึง ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราอาจจะได้เห็นกาแฟพันธุ์ใหม่ ที่มีให้ดื่มกันมากขึ้นก็ได้