พาไปดูการผลิต กาแฟโรบัสต้า ของประเทศอินโดนีเซีย 

จากข้อมูลขององค์การระหว่างประเทศ ประเทศอินโดนีเซียนับว่าเป็นประเทศผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก โดยตัวเลขในปี 2020 ระบุว่าอินโดนีเซียสามารถผลิตกาแฟได้ถึง 12.1 ล้านกระสอบ (60 กิโลกรัม) ซึ่งเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 5.8% จากปีก่อน

กาแฟส่วนใหญ่ที่ถูกปลูกในประเทศอินโดนีเซีย จะเป็นกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้า  กระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา (USBA) กล่าวว่า ในปีถัด ๆ มา การปลูกและการผลิตกาแฟโรบัสต้าจากอินโดนีเซียนั้น เรียกได้ว่ามีอัตราที่เพิ่มขึ้นอยู่ทุกปี

และแม้ว่าประเทศอินโดนีเซียจะเป็นประเทศที่ผลิต กาแฟโรบัสต้า ได้ในปริมาณมาก แต่โรบัสต้าที่ถูกผลิตส่วนใหญ่ในอินโดนีเซีย มักจะถูกนำไปใช้กับกาแฟเบลนด์ หรือไม่ก็นำไปใช้ในการทำกาแฟซองสำเร็จรูป หนึ่งในสาเหตุหลักที่เป็นแบบนั้นก็เนื่องจากโรบัสต้ามีคุณภาพต่ำกว่าอาราบิก้ามาก แน่นอนว่ามันมาจากกระบวนการควบคุมการผลิตที่ต่ำ สำหรับการผลิตกาแฟโรบัสต้านั่นเอง

Coffee Flower in Brance

เรื่องนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อินโดนีเซียสามารถที่จะผลิตกาแฟโรต้าคุณภาพสูงออกมาได้หรือไม่ และภาพรวมของการผลิตกาแฟโรบัสต้าในอินโดนีเซียเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมาคุยกัน

ภาพรวมการผลิต กาแฟโรบัสต้า ในอินโดนีเซีย

กาแฟสายพันธุ์โรบาต้านับเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากของอินโดนีเซีย จากข้อมูลของ Index Mundi พบว่า อินโดนีเซียถือเป็นผู้ผลิตกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของโลก รองจากประเทศบราซิลและประเทศเวียดนาม แล้วเหตุใดอัตราการผลิตโรบัสต้าของที่นี่จึงเติบโตได้มากถึงขนาดนี้

สาเหตุหลักก็มาจากว่าประเทศมีพื้นที่ที่กว้างใหญ่ ที่เหมาะสมสำหรับการผลิตกาแฟ รวมถึงมีสภาพพูมิอากาศที่เหมาะสมด้วย นั่นเป็นเหตุผลให้ที่นี่สำหรับการผลิตกาแฟโรบัสต้า ด้วยเงื่อนไขทางด้านภูมิศาสตร์และสภาพอากาศนี้ ทำให้มีแนวโน้มที่จะกาแฟสดที่ออกมาจะมีความนุ่มนวลและละเอียดอ่อน หากเป็นกาแฟโรบัสต้าจากบริเวณเกาะชวา ก็มักจะนึกถึงกลิ่นของช็อกโกแลต และมีความเป็นผลไม้อยู่บ้าง และหากเป็นกาแฟโรบัสต้าจากบริเวณหมู่เกาะสุมาตรา เราจะได้รสชาติที่เข้มข้นขึ้นของวานิลลาและช็อกโกแลตเป็นต้น

ภูมิภาคการปลูกกาแฟสดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย จะอยู่บริเวณบริเวณทางตอนใต้ของเกาะสุมาตรา ซึ่งเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางบริเวณฝั่งตะวันตกของเกาะชวา และด้วยอุณหภูมิที่สูงกว่าบนเกาะสุมาตรา ทำให้เหมาะสมสำหรับการปลูกกาแฟสดมากกว่ากาแฟอาราบิก้า

และก็เช่นเดียวกับพื้นที่ผู้ผลิตกาแฟประเทศอื่น ๆ เกษตรกรส่วนใหญ่ในอินโดนีเซียนั้น เป็นเกษตรกรรายย่อยที่มีพื้นที่ปลูกกาแฟอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ต่อครอบครัวประมาณ1-2 เฮกตาร์เท่านั้น เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่ผลิตกาแฟเพื่อที่จะยังชีพตัวเอง ดังนั้นจึงมีการเก็บเล็กผสมน้อยเพื่อนำมาลงทุนในฟาร์มของตน นั่นหมายความว่าการควบคุมในเรื่องของคุณภาพเป็นเรื่องใหญ่และจะเป็นปัญหา 

เหตุใดจึงจำเป็นจะต้องปรับปรุงคุณภาพของโรบัสต้า

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น การผลิตโรบัสต้าของอินโดนีเซียนั้นมีการผลิตในปริมาณมาก แต่ก็จำเป็นอย่างมากเช่นเดียวกันที่จะจะต้องปรับปรุงในเรื่องของคุณภาพ นอกจากการขาดมาตรการการควบคุมคุณภาพโดยทั่วไปแล้ว ยังมีปัญหาในเรื่องของการคัดเกรด และดูในเรื่องของความแตกต่างระหว่างโรบัสต้าด้วยเช่นเดียวกัน หากเราใช้หลักการพิจารณาโรบัสต้าอย่างละเอียด ตามมาตรฐานและเกณฑ์ของการที่จะได้มาซึ่ง “ไฟน์โรบัสต้า” ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนำสารสารกาแฟมา 350 กรัม ไม่ควรที่จะเจอข้อบกพร่อง 5 อย่างที่มีการระบุไว้ เป็นมาตรฐาน

เนื่องจากเรื่องของการควบคุมคุณภาพดังกล่าวนี้ ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ในการในการผลิตกาแฟโรบัสต้าของอินโดนีเซีย จึงเป็นเรื่องที่ยากหากให้เกษตรกรรายย่อย มาทำการวัดและระบุถึงคุณภาพของตน และปรับปรุงคุณภาพในภายหลัง นอกจากนี้ หากเป็นในเกษตรกรที่สามารถระบุกาแฟว่าเป็นแบบไฟน์โรบัสต้าอยู่แล้ว แต่หากไม่มีความรู้ หรือทรัพยากรอย่างเพียงพอ ก็ไม่อาจที่จะผลักดันและเพิ่มรายได้ให้กับตัวพวกเขาเองได้

แต่ปัญหาที่ว่ามาก็ไม่ใช่เรื่องเดียวที่เกิดขึ้นในการผลิตโรบัสต้าในอินโดนีเซีย เรื่องของผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพพูมิอากาศ แน่นอนว่ามันส่งผลต่อการผลิตกาแฟทั่วโลก ภาวะโลกร้อนอย่างรุนแรงเหล่านี้ ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อการปลูกกาแฟทั้งอาราบิก้าและโรบัสต้าด้วยเช่นเดียวกัน

หากจะกล่าวถึงอาราบิก้า ในอินโดนีเซียเองจะมีพื้นที่กว่า 37% ในอนาคตจะกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมต่อการปลูกกาแฟ ดังนั้นเกษตรกรจะต้องไปปลูกบนพื้นที่ที่สูงขึ้น เพื่อให้มีสภาพการเจริญเติบโตที่ดียิ่งขึ้น 

สิ่งที่ตามมาก็คือ เกษตรกรที่เคยปลูกกาแฟอาราบิก้าในอินโดนีเซีย ท้ายที่สุดแล้วจะถูกบังคับให้เปลี่ยนมาปลูกกาแฟโรบัสต้ามากยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นสายพันธุ์กาแฟที่ทนทานต่อสภาพอากาศมากกว่าอาราบิก้าอย่างเห็นได้ชัด เมื่อคุณปลูกกาแฟมากขึ้น แน่นอนว่ามันส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรที่ปลูกอยู่ก่อนแล้วแน่นอน และโดยปกติราคาของอาราบิก้าก็สูงกว่าโรบัสต้าโดยทุนเดิมอยู่แล้ว

ดังนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือ การให้ความสำคัญกับการปรับปรุงผลผลิตและคุณภาพของโรบัสต้า ให้ออกมาดีและยอดเยี่ยมมากยิ่งขึ้น สิ่งนี้มีความจำเป็นอย่างมาก สำหรับอนาคตของอุตสาหกรรมกาแฟในประเทศอินโดนีเซีย

ความท้าทายในการผลิตกาแฟโรบัสต้าของอินโดนีเซีย

เนื่องจากภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ เกษตรกรโรบัสต้าชาวอินโดนีเซียยังจะต้องเผชิญกับความท้าทายและความยากลำบากอื่น ๆ อีกมากมาย

จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรของอินโดนีเซีย พบว่าฟาร์มกาแฟส่วนใหญ่ในประเทศนั้น จะให้ผลผลิตเชอรี่อยู่ที่ประมาณ 817 กิโลกรัมต่อเฮกตาร์โดยเฉลี่ย แต่หากเทียบกับปริมาณต้นกาแฟที่มีอยู่ เชอรี่ที่ควรจะผลิตได้ควรอยู่ที่ประมาณ 1,300 กิโลกรัมต่อเฮกตาร์ ซึ่งช่องว่างในการผลิตนี้ถือว่าสูงมาก นั่นหมายความว่าอาจจำเป็นที่เกษตรกรจะต้องมีการลงทุนเพิ่มมากยิ่งขึ้น เพื่อทำให้ทั้งผลผลิตโรบัสต้ามากยิ่งขึ้น และมีคุณภาพมากยิ่งขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

เกษตรกรส่วนใหญ่นั้นเป็นเจ้าของที่ดินแปลงเล็ก ๆ เท่านั้น ด้วยผลผลิตคุณภาพต่ำ โรบัสต้าก็ราคาต่ำอยู่แล้วด้วย ดังนั้นเกษตรกรและเจ้าของที่ดินจึงประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจมาก พืชโรบัสต้าจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลเพิ่มเติม ทั้งเรื่องของการตัดแต่งกิ่งและการให้ปุ๋ย ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น และเรื่องที่ว่าโรบัสต้าแต่เดิมนั้นเป็นกาแฟคุณภาพต่ำกว่าอาราบิก้าอยู่แล้ว ทำให้เกษตรกรในอินโดนีเซียจำนวนมากยิ่งขึ้น หันมาลงทุนในกาแฟโรบัสต้าน้อยลง ไม่ค่อยมีการนำโรบัสต้ามาทำการโพรเซสดี ๆ กันเท่าไหร่นัก

Coffee Farming

ผู้ผลิตหลายรายไม่เห็นศักยภาพที่แท้จริงของกาแฟโรบัสต้า เนื่องจากเห็นว่าเป็นกาแฟราคาถูกกว่าอาราบิก้ามาก ดังนั้นในการผลิตแต่ละครั้งจึงมุ่งเน้นไปที่เรื่องของปริมาณมากกว่าคุณภาพเสียอีก หากเราไปดูฟาร์มหลายฟาร์มในอินโดนีเซีย จะไม่ได้มีการควบคุมคุณภาพมากนัก ตั้งแต่ในเรื่องของกระบวนการในการเก็บเกี่ยว โดยผู้ที่เก็บเกี่ยวผลเชอรี่ จะเก็บเกี่ยวผลเชอรี่มาทั้งหมดไม่ได้สนใจว่ามันจะสุกหรือไม่ สิ่งนี้นอกจากจะส่งผลในกระบวนการโพรเซส ยังส่งผลต่อการเก็บเกี่ยวผลผลิตในปีถัดไปด้วย สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนแปลงแนวทางการปฏิบัติ เนื่องจากในอินโดนีเซียเรื่องเหล่านี้กลับกลายเป็นเรื่องปกติในการผลิตโรบัสต้าไปแล้ว

ท้ายที่สุดแล้ว ปัญหาที่แท้จริงของอุตสาหกรรมกาแฟโรบัสต้าในอินโดนีเซีย ก็จะต้องย้อนมาที่การจัดการทรัพยากร รวมถึงกระบวนการผลิตและการโพรเซสที่ถูกต้องสำหรับกาแฟโรบัสต้าด้วย นอกจากนี้ เกษตรกรยังคุ้นเคยกับราคาโรบัสต้าที่ต่ำกว่า ที่ควรจะเป็น เช่นเดียวกับการรับรู้ในระดับสากลทั่วไป ดังนั้นการทำกาแฟโรบัสต้าออกมา ให้มีคุณภาพ และทำให้เติบโตในวงกว้างจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทาย

การปรับปรุงมาตรฐานและการควบคุมคุณภาพ

แล้วแบบนี้ คุณภาพของกาแฟโรบัสต้าจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร อย่างแรกเลย คือจำเป็นที่จะต้องมีการเข้าถึงองค์ความรู้ รวมถึงการเข้าถึงทรัพยากรที่สำคัญในกระบวนการผลิตกาแฟ ตั้งแต่กระบวนการเก็บเกี่ยว ไปจนถึงกระบวนการการโพรเซสกาแฟแบบเป็นจริงเป็นจัง มีการประมาณการว่า กระบวนการตั้งแต่การเก็บเกี่ยวไปจนถึงการโพรเซสกาแฟเหล่านี้ ส่งผลต่อคุณภาพของกาแฟโดยรวมมากกว่า 60% เลยทีเดียว

อย่างเช่นการช่วยให้เกษตรกรสามารถที่จะคัดแยกผลเชอร์รี่ของโรบัสต้า เชอรี่แบบใดเป็นเชอรี่ที่มีคุณภาพสูง และแบบใดที่เป็นเชอรี่คุณภาพต่ำ การให้ความรู้ที่เหมาะสมเกี่ยวกับวิธีการดูแลต้นกาแฟโรบัสต้า ไปจนถึงวิธีการในการโพรเซสที่เหมาะสมด้วยเช่นเดียวกัน วิธีการเหล่านี้อาจจะไม่สามารถใช้ได้กับฟาร์มกาแฟทุกแห่งในประเทศอินโดนีเซีย แต่อย่างน้อยก็สามารถที่จะเป็นคำแนะนำ เพื่อที่เกษตรกรบางฟาร์มจะสามารถปรับปรุงคุณภาพของโรบัสต้าได้

ที่สำคัญเลยคือ เกษตรกรจำเป็นที่จะต้องรับรู้และตระหนักถึงการมีอยู่ของกาแฟเกรดไฟน์โรบัสต้า เหมือนกับการที่ผู้คนตระหนักรู้ถึงกาแฟอาราบิก้าที่เป็นเกรด speciality มากขึ้น ซึ่งตลาดนี้เติบโตมากยิ่งขึ้นอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบัน แล้วมันทำให้เกษตรกรสามารถเชื่อมโยงกับอาราบิก้าคุณภาพสูงได้อีกด้วย กับกาแฟโรบัสต้าก็เช่นเดียวกัน เมื่อเกษตรกรรับรู้ รวมถึงตลาดมีความต้องการกาแฟเกรดไฟน์โรบัสต้ามากยิ่งขึ้น เท่านี้ก็จะสามารถเพิ่มคุณภาพของกาแฟโรบัสต้าได้ง่ายดายมากขึ้นด้วย

และหากทำออกมาดีในบางครั้ง กาแฟโรบัสต้าในเกรดไฟน์โรบัสต้านั้น สามารถที่จะให้รสชาติที่คล้ายคลึงกับอาราบิก้าเกรดพิเศษได้เลย กาแฟบางตัวมีความเป็นกรด มีรสชาติคล้ายกับ citrus นั่นทำให้โรบัสต้าน่าสนใจ

เนื่องจาก c price สำหรับกาแฟอาราบิก้านั้น เรียกได้ว่าเพิ่มมากยิ่งขึ้นต่อเนื่องในปีที่ผ่าน ๆ มา สิ่งนี้ส่งผลให้อัตรากำไรของโรงคั่วกาแฟลดลง นั่นทำให้บรรดาโรงคั่วกาแฟจำเป็นที่จะต้องมองหาตัวเลือกกาแฟที่มีราคาไม่ได้แพงมากนัก เพื่อตอบสนองความต้องการรสชาติที่น่าสนใจของกาแฟของผู้บริโภค การหันมามองกาแฟโรบัสต้าถือเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่นั่นก็ต้องมาควบคู่กันกับการที่ผู้ผลิตกาแฟ สามารถผลิตกาแฟโรบัสต้าออกมาให้ยอดเยี่ยมได้ ด้วยการปลูกโรบัสต้าคุณภาพสูง สิ่งนี้สามารถที่จะสร้างตลาดที่มีศักยภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเกษตรกรในอินโดนีเซีย

Coffee Plant Flower

ในปัจจุบันก็มีงานประกวดกาแฟเพิ่มขึ้นมากมาย ที่มีการนำเสนอกาแฟโรบัสต้าคุณภาพเยี่ยมมากขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งนี้เอื้อต่อการผลิตกาแฟโรบัสต้าคุณภาพสูงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีการผลักดันให้โรบัสต้ากลายมาเป็นที่ต้องการในตลาดมากยิ่งขึ้นด้วย

การมีมาตรฐาน และการควบคุมที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นในห่วงโซ่กาแฟของอินโดนีเซีย อาจเป็นสิ่งที่ส่งผลให้มีการผลิตกาแฟโรบัสต้าคุณภาพสูงได้มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ บรรดาผู้ผลิตจำเป็นที่จะต้องเข้าถึงทรัพยากรทั้งหมด รวมถึงองค์ความรู้ทั้งหมดได้ด้วยเช่นเดียวกัน จำเป็นต้องมีการสนับสนุนผู้ผลิตกาแฟ มีการให้ความรู้เกี่ยวกับการผลิตโรบัสต้าคุณภาพเยี่ยม วิธีการปรับปรุงคุณภาพ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ประเทศอินโดนีเซียก็จะกลายเป็นประเทศหนึ่ง ที่สามารถผลิตกาแฟโรบัสต้าไม่ใช่แค่ปริมาณมาก แต่กลายเป็นกาแฟโรบัสต้าชั้นดีให้เราได้ดื่มกันด้วย