คู่มือฉบับสมบูรณ์ ว่าด้วยเรื่อง ประเภทของกาแฟ

บนโลกเรานั้นมีกาแฟหลายชนิดมาก แต่ละชนิดก็มีชื่อเรียกที่มีความแตกต่างกันออกไป มีตั้งแต่กาแฟนม กาแฟสูตรธรรมดา รวมไปถึงกาแฟเกรดพิเศษต่าง ๆ มากมายซึ่งเหล่านี้เราต้องอาศัยประสบการณ์ในการดื่ม เพื่อที่จะได้ทำความรู้จักกาแฟแต่ละชนิด ดังนั้น วันนี้ผมจะมาว่ากันด้วยเรื่องของ ประเภทของกาแฟ วิธีการจำแนก และแยกตามลักษณะต่าง ๆ เพื่อให้เราได้ทำความรู้จักกาแฟที่เราซื้อมาว่า กาแฟนั้นสามารถนำไปทำอะไรได้บ้าง

กาแฟดำ โลกแห่งความหลากหลาย

กาแฟดำนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะศึกษาเรื่องราวอันกว้างใหญ่ของกาแฟ ผมจะพาคุณไปรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อกาแฟดำ 1 แก้ว ไปจนถึงต้นกาแฟ ที่ซึ่งเป็นที่มาของกาแฟทั้งโลกด้วย

black coffee

เมล็ดกาแฟ

อย่างที่เรารู้กันว่า เมล็ดกาแฟที่ปลูกอยู่ในโลกของเรานั้นมีอยู่ด้วยกันถึง 4 ประเภทของกาแฟ ในจำนวนนั้น เมล็ดกาแฟอาราบิก้าจะมีสัดส่วนการปลูกที่มากกว่าครึ่งของกระบวนการปลูกกาแฟทั้งหมดในโลก ส่วนใหญ่ที่เหลือแทบจะเป็นกาแฟโรบัสต้า โดยสายพันธุ์ที่เหลืออย่างลิเบอริก้าและเอ็กเซลซ่า โดยส่วนมากจะหาดื่มได้ค่อนข้างยาก ซึ่งคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก ๆ ของการผลิตกาแฟทั้งโลก

โดยธรรมชาติแล้ว เมล็ดกาแฟอาราบิก้าจะมีรสชาติที่มีความสดใสกว่า acidity ที่มีความสมดุล กลิ่นหอม อีกทั้งยังมีความซับซ้อน กาแฟอาราบิก้ายอดนิยม เช่น Bourbon, Typica, Catuai และ Blue Mountain วิธีการที่เราจะเลือกดื่มกาแฟอาราบิก้า เราควรที่จะดื่มแบบร้อนและไม่ผสมนมหรือครีม หรือสารให้ความหวานใด ๆ เลยจะเป็นการดีที่สุด

กาแฟโรบัสต้าจะเป็นเมล็ดกาแฟที่ค่อนข้างมีความแข็งแรง ต้านทานโรคได้ดี เหตุผลที่ทำให้กาแฟโรบัสต้ามีความแข็งแรง คือปริมาณคาเฟอีนที่มีอยู่ในเมล็ดกาแฟเกือบ 2 เท่าของเมล็ดอาราบิก้า และปริมาณคาเฟอีนที่ค่อนข้างสูงในเมล็ดกาแฟโรบัสต้า ทำให้กาแฟส่วนใหญ่จะออกมาเข้มข้นและค่อนข้างขม หากลองสังเกตจาก ถุงเมล็ดกาแฟคุณภาพ หรือเมล็ดกาแฟเกรดพิเศษต่าง ๆ เรามักจะไม่เจอกาแฟโรบัสต้า

เมล็ดกาแฟ ต้นกำเนิด และรสชาติ

ภูมิภาคที่ปลูกกาแฟตัวนั้น ๆ หรือภูมิภาคที่กาแฟเหล่านั้นเจริญเติบโตมีบทบาทสำคัญในการกำหนดโปรไฟล์และรสชาติของกาแฟเป็นอย่างมาก กาแฟเป็นพืชที่ปลูกกันกว่าใน 50 ประเทศทั่วโลก และแต่ละที่หรือแต่ละภูมิภาคนั้นล้วนแล้วแต่มีลักษณะพิเศษ ตัวอย่างเช่น กาแฟเคนย่า จะมีรสชาติที่มีความแตกต่างกับกาแฟที่ปลูกในบราซิลอย่างแน่นอน

ไม่ว่าเมล็ดกาแฟจะปลูกที่ไหนก็ตาม ในแอฟริกา ในประเทศไทย หรือแม้แต่ในละตินอเมริกาก็ตาม ไม่ว่าจะที่ไหน รสชาติของเมล็ดกาแฟที่ได้นั้นจะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ระดับความสูงในการปลูก วิธีการแปรรูป ประเภทของกาแฟ (เมล็ดกาแฟ) และสภาพดินที่ใช้ในการปลูกกาแฟนั้น ๆ

ตัวอย่าง: กาแฟสุมาตรา

ผมจะยกตัวอย่างกาแฟสุมาตรา ซึ่งเป็นกาแฟที่เหมาะที่จะเรียนรู้ความพิเศษของกาแฟที่เรียกว่ากาแฟเกรดพิเศษ หรือกาแฟสเปเชียลตี้ เราจะมาเรียนรู้ถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้กาแฟเหล่านั้นมีลักษณะเฉพาะ กาแฟนั้นจะดีหรือไม่ดี ท้ายที่สุดแล้วก็ขึ้นกับความชอบส่วนตัว แต่ความชอบที่ว่านั้น หากเรามีความรู้เกี่ยวกับกาแฟ เราก็สามารถที่จะคัดเลือกกาแฟที่เหมาะสมกับเราได้มากที่สุด

เกาะสุมาตรา ซึ่งเป็นเกาะหนึ่งที่อยู่ในอาณาเขตประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตร มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะให้กาแฟเจริญเติบโตได้ดี บนเกาะสุมาตรานั้นมีพื้นที่ที่ใช้ในการเพาะปลูกกาแฟจำนวนมาก ซึ่งอยู่บนที่สูง ไม่ว่าจะเป็นสภาพดินหรือสภาพอากาศก็ล้วนแล้วแต่เหมาะสมสำหรับกาแฟ นี่เองทำให้กาแฟของเรามีเวลา และมีพื้นที่ให้เมล็ดกาแฟได้พัฒนารสชาติ ทำให้เกิดความซับซ้อนในรสชาติมากขึ้น โดยเมล็ดกาแฟสุมาตรานี้ หลายคนบอกว่าเป็นเมล็ดกาแฟจากแหล่งปลูกหนึ่งที่ค่อนข้างมีความสมบูรณ์ มีรสชาติที่เข้มข้นมีกลิ่นและรสชาติของดินอย่างชัดเจน

ไม่ใช่แค่ในเรื่องของพื้นที่การปลูก สภาพอากาศ รวมถึงดินที่ทำให้กาแฟสุมาตรามีรสชาติที่พิเศษและเป็นเอกลักษณ์ แต่ทั้งนี้ยังรวมไปถึงวิธีการแปรรูปกาแฟอีกด้วย ผลเชอรี่กาแฟของเกาะสุมาตราถูกแปรรูปโดยวิธีการแปรรูปแบบเปียก ด้วยภูมิอากาศบนเกาะของประเทศอินโดนีเซียนี้ที่ค่อนข้างจะชื้น ทำให้เลือกวิธีการแปรรูปแบบเปียก

อีกปัจจัยที่ส่งผลต่อรสชาติกาแฟสุมาตรา ก็คือตัวของเมล็ดกาแฟ กาแฟของอินโดนีเซียหลายชนิดเป็นกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้า แต่เมล็ดกาแฟสุมาตรานั้นเป็นพันธุ์อะราบิก้า กาแฟสุมาตราจะมีรสที่เข้มข้นและมีลักษณะความเป็น acidity ต่ำ พร้อมกับมีกลิ่นของโกโก้และใบยาสูบ

lake toba, indonesia from coffee farm

การคั่วกาแฟ

แม้ว่าที่มาของเมล็ดกาแฟนั้นจะส่งผลต่อรสชาติอย่างมาก แต่ลักษณะการคั่วกาแฟที่แตกต่างกัน ก็ส่งผลและสร้างความแตกต่างให้กาแฟของเรามากด้วยเช่นกัน การคั่วกาแฟนั้นมีหลายระดับ และแต่ละระดับก็ส่งผลต่อรสชาติกาแฟที่เราชงแล้ว มีการคั่วกาแฟแบบคั่วอ่อน คั่วกลาง ไปจนถึงคั่วเข้มปานกลาง และสุดท้ายก็เป็นแบบคั่วเข้ม

เราอาจจะเคยได้ยินกับชื่อของการคั่วกาแฟ เช่น French roast, Italian roast, Vienna roast หรือ American roast ซึ่งชื่อแบบนี้ หมายถึงระดับการคั่วกาแฟที่ผู้คนในท้องถิ่นนั้น ๆ นิยมหรือชื่นชอบ

วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะบอกถึงระดับการคั่วของกาแฟ ให้ดูสีของเมล็ดกาแฟ

โดยปกติแล้ว เมล็ดกาแฟคั่วอ่อนจะมีสีน้ำตาลอ่อน ในกระบวนการการคั่วกาแฟแบบคั่วอ่อน สารต่าง ๆ ที่ให้รสชาติของกาแฟส่วนใหญ่นั้นยังคงไม่สูญสลายไป ดังนั้นการคั่วกาแฟแบบคั่วอ่อนจึงมอบประสบการณ์การดื่มที่ซับซ้อน และรสชาติกาแฟที่ละเอียดอ่อนมากยิ่งขึ้น การคั่วกาแฟแบบคั่วอ่อนนั้นมักจะได้กาแฟที่มี acidity ที่ชัดเจน และได้รสชาติของเมล็ดกาแฟนั้นอย่างเต็มที่ เมล็ดกาแฟก็จะมีความแห้ง โดยจะไม่ค่อยมีน้ำมันบนผิวของเมล็ด

การคั่วกาแฟในระดับคั่วกลางนั้น กาแฟของเราจะมีสีน้ำตาล เมล็ดกาแฟที่ได้ก็จะมีความแห้งเช่นกัน อย่างการคั่วกาแฟที่เราเรียกกันว่า American roast ก็จะเป็นกาแฟระดับคั่วกลาง

การคั่วกาแฟที่มีชื่อเรียกว่า Vienna roast เป็นการคั่วกาแฟแบบคั่วเข้มปานกลาง สีที่ได้จะเป็นสีน้ำตาลที่มีความเข้มขึ้นมาจากระดับกาแฟคั่วกลาง และอาจมีความมันบนผิวของเมล็ดกาแฟอยู่บ้าง การคั่วกาแฟแบบนี้ เมล็ดกาแฟจะมีสีเข้ม อีกทั้งรสชาติกาแฟยังมีความเข้มข้นกว่ากาแฟคั่วกลางเล็กน้อย

สุดท้ายเป็นกาแฟคั่วเข้ม ที่ส่วนใหญ่ผิวของเมล็ดกาแฟจะค่อนข้างมัน สีก็จะมีสีน้ำตาลที่เกือบดำ องค์ประกอบของรสชาติกาแฟที่ลึกลับและซับซ้อนจะหายไป หรือไว้เพียงความขมและกลิ่นของควัน โดยปกติแล้วกาแฟคั่วเข้มมักจะนำไปชงเป็นเครื่องดื่มอย่างเอสเพรสโซ ชื่อเรียกกาแฟคั่วแบบ French roast coffee, Spanish roast coffee และ Italian roast เหล่านี้คือกาแฟคั่วเข้มทั้งสิ้น

การบดกาแฟ

นอกจากนี้ ในเรื่องของอัตราการบดกาแฟ ตั้งแต่การบดหยาบไปจนถึงการบดละเอียด ก็ค่อนข้างมีความสำคัญต่อรสชาติของกาแฟอยู่มากเหมือนกัน

วิธีการบดแต่ละแบบก็เหมาะกับการชงกาแฟแต่ละชนิด การชงกาแฟแบบ French press ออกมาให้ดีนั้น เราจำเป็นต้องใช้กาแฟที่บดหยาบ เพราะหากเราบดกาแฟละเอียดเกินไป จะทำให้กาแฟของเราไปอุดตันตัวกรอง เป็นเหตุให้กาแฟขุ่น หากเราอยากชงกาแฟดริป การบดกาแฟแบบปานกลางก็เป็นสิ่งที่เราควรทำ เอสเพรสโซเหมาะกับการบดกาแฟแบบละเอียด หรือแม้แต่การชงกาแฟสไตล์ตุรกี ที่เราจำเป็นต้องบดกาแฟให้ละเอียดมากๆจนเกือบจะเป็นผงเลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าโดยทั่วไปคนส่วนใหญ่มักจะชอบที่จะดื่มกาแฟใส่นมหรือใส่ครีม แต่หากอยากจะทำความรู้จักกาแฟได้อย่างลึกซึ้งและดีที่สุด ควรที่จะลองดื่มกาแฟดำดู

Coffee-beans-and-ground-coffee-powder-in-a-jars-on-black-table-copy

เอสเพรสโซและความหลากหลาย

กาแฟสไตล์อิตาเลียนสุดคลาสสิกที่เป็นที่รู้จักและชื่นชอบของผู้คนทั่วโลกนี้ เป็นรากฐานสำคัญของเครื่องดื่มกาแฟสุดคลาสสิกมากมาย แม้แต่เอสเพรสโซเองก็มีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบ

Espresso

เอสเพรสโซคือ เครื่องดื่มที่ชงด้วยเครื่องทำเอสเพรสโซ สิ่งที่จะกำหนดรสชาติที่แท้จริงของเอสเพรสโซนั้นคือวิธีการสกัด โดยเอสเพรสโซจะทำการชงและสกัดด้วยไอน้ำ แทนที่จะใช้น้ำเดือดเหมือนกับกาแฟดำ

นี่เองคือเหตุผลที่ทำให้เอสเพรสโซมีชั้นครีมที่เรียกว่า crema อยู่ด้านบน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ แต่ถึงเราจะเรียกว่า crema แต่สิ่งนี้ก็ไม่ใช่ครีม สิ่งนี้คือโฟมสีน้ำตาลเข้มหนา ที่หากขาดไป เอสเพรสโซก็จะไม่เป็นเอสเพรสโซอีกต่อไป

ถึงแม้คนทั่วโลกจะเรียกกาแฟชนิดนี้ว่าเอสเพรสโซ แต่ในอิตาลีเองไม่ได้เรียกด้วยชื่อนี้ เนื่องจากนี่เป็นกาแฟที่เป็นพื้นฐานที่สุด ดังนั้นคนอิตาเลียนจึงเรียกกันง่าย ๆ ว่า caffè

Espresso double shot หรือบางครั้งก็เรียกว่า doppio เป็นการเสิร์ฟเอสเพรสโซ 2 ช็อตในแก้วเดียวกัน

Espresso Ristretto

Espresso Ristretto คือการที่ลดปริมาณน้ำจากเดิมครึ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ 1 ช็อตของเอสเพรสโซมีขนาดเล็กลง แต่ก็เต็มไปด้วยรสชาติ และมีความเข้มข้นมากขึ้นเป็นเท่าตัว

Espresso Lungo

Espresso Lungo คือการชงเอสเพรสโซให้นานขึ้น หรือก็คือการเพิ่มปริมาณน้ำให้มากขึ้น ทำให้เครื่องดื่มนี้มีความเข้มข้นน้อยกว่าเอสเพรสโซโดยปกติ แต่ก็ยังมีความเข้มข้นกว่าอเมริกาโน่อยู่ดี

Caffè Americano

Caffè Americano แท้จริงแล้วก็คือเอสเพรสโซที่ได้ทำการเจือจางด้วยน้ำร้อน สิ่งนี้เกิดขึ้นมาจากบาริสต้าชาวอิตาลีที่ทึกทักเอาว่า ชาวอเมริกันน่าจะชอบแบบนี้ กาแฟอเมริกาโน่ชั้นดีจะต้องมีความเข้มข้น อีกทั้งจำเป็นจะต้องมี crema อีกชั้นหนึ่งเหมือนกับเอสเพรสโซ โดยปกติจะทำโดยการชงเอสเพรสโซ 1 ช็อตหรือ 2 ช็อต บางครั้งอเมริกาโน่ก็ถูกเรียกกันว่า long black

cold-brew-coffee

กาแฟดำ

กาแฟดำนั้นเป็นอะไรที่เรียบง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ถึงอย่างนั้นก็ให้ประสบการณ์กาแฟที่หลากหลาย และมากที่สุดที่กาแฟสามารถให้ได้ และเหล่านี้คือเครื่องดื่มกาแฟดำยอดนิยมเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น

Drip Coffee

หากบอกว่า Drip Coffee เรามักจะสับสนกับ Pour-Over Coffee โดยเฉพาะในบ้านเราที่เรียกกาแฟ Pour-Over Coffee กันติดปากว่ากาแฟดริป แท้จริงแล้วเป็นคนละอย่างกันอย่างสิ้นเชิง การชงกาแฟ Drip Coffee โดยปกติเราจะใช้เครื่องชง และชงดื่มกันในบ้าน แต่ตามร้านที่เราดื่มกัน เป็นกาแฟแบบสเปเชียลตี้ นั่นเป็นการชงกาแฟอีกแบบ

Pour-Over Coffee

วิธีนี้จะคล้ายกับกาแฟดริป เป็นวิธีการที่เราจะเทน้ำร้อนลงบนกาแฟบดที่อยู่ในกรอง อาจจะใช้กรองกระดาษหรือกรองผ้าก็ได้ ซึ่งจำเป็นที่เราจะต้องเทไหลผ่านเมล็ดกาแฟที่บดอย่างพิถีพิถัน ควบคุมอัตราการไหลของน้ำ บาริสต้าที่เชี่ยวชาญนั้น สามารถที่จะดึงรสชาติและกลิ่นอันซับซ้อนของกาแฟออกมาได้

สิ่งนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน โดยนิยมที่จะนำมาชงกาแฟเกรดคุณภาพ เกรดพิเศษหรือสเปเชียลตี้ ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหนก็สามารถหาดื่มได้แล้ว ในปัจจุบันสิ่งนี้ไม่ใช่แค่กาแฟ ไม่ใช่แค่การใช้น้ำในปริมาณที่เหมาะสมกับกาแฟในปริมาณที่เหมาะสม แต่เป็นเหมือนศิลปะ ที่แต่ละคนก็จะมีวิธีการแตกต่างกันออกไปด้วย

French Press Coffee

การชงกาแฟแบบ French press จะเป็นการชงกาแฟโดยใช้น้ำร้อนเช่นกัน แต่จะใช้อัตราการบดที่ค่อนข้างหยาบ เราจะเทน้ำร้อนลงในกาแฟที่อยู่ในกาชงกาแฟ French press จากนั้นจะทำการกดกาแฟลง โดยมีกรองตาข่ายรองอยู่

Cold Brew Coffee

Cold Brew Coffee หรือกาแฟสกัดเย็นนี้ แต่เดิมนั้นมาจากประเทศญี่ปุ่น วิธีการชงแบบนี้ เราจะใช้น้ำเย็นหรือน้ำในอุณหภูมิธรรมดาในการชง ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง บางครั้งสามารถที่จะใช้เครื่องชงกาแฟ French press ในการชงกาแฟสกัดเย็นได้

นอกจากนี้ วิธีการชงกาแฟสกัดเย็นยังมีอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งเราจำเป็นต้องปล่อยให้กาแฟหยดลงในโถอย่างช้า ๆ อาจกินเวลา 12-24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นวิธีการที่ต้องใช้ความอดทนสูง แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือ กาแฟที่มีความเข้มข้น มี acidity ที่ต่ำ เราอาจดื่มเลย หรืออาจนำมาผสมกับนม แล้วดื่มก็สดชื่นไม่แพ้กัน

Turkish Coffee

วิธีการนี้เป็นวิธีการแบบโบราณที่มีอายุมากกว่าหลายร้อยปีแล้ว และยังคงเป็นที่นิยมในบริเวณคาบสมุทรบอลข่านและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก เป็นการบดกาแฟอย่างละเอียดแล้วผสมกับน้ำ จากนั้นนำมาเคี่ยวในหม้อขนาดเล็กจนเกิดฟองเกาะตัวขึ้นเป็นวงแหวนรอบ ๆ วิธีการนี้เราจะไม่ได้กรองกากกาแฟออก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องจิบอย่างช้า ๆ ทำให้กากกาแฟตกตะกอนอยู่ที่ก้นถ้วย

turkish coffee

กาแฟใส่นมหรือครีม

เครื่องดื่มเหล่านี้ส่วนมากมักจะใส่นมหรือครีมเพิ่ม หลายชนิดอาจจะเสิร์ฟด้วยวิธีการเสิร์ฟแบบร้อน ๆ หรืออาจจะใส่น้ำแข็งดื่มก็ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเราชอบแบบไหน

เครื่องดื่มที่มีฐานมาจากเอสเพรสโซ

การที่นำเอสเพรสโซช็อตมาผสมกับนมนั้นเป็นพื้นฐานของเครื่องดื่มกาแฟยอดนิยมหลากหลาย

Cappuccino

เครื่องดื่มเอสเพรสโซผสมกับนมชนิดแรกคือคาปูชิโน่ ที่มีการผสมผสานระหว่างเอสเพรสโซกับนม ในอัตราส่วนที่เท่ากัน จากนั้นก็โปะด้วยฟองนม มีอีกอย่างคือคาปูชิโน่แบบ Double คือการใช้เอสเพรสโซ 2 ช็อตกับนม ทั้งนี้ก็เพื่อให้เครื่องดื่มมีความเข้มข้นของกาแฟมากขึ้น

แล้วคาปูชิโน่เย็นมีหรือไม่ เครื่องดื่มชนิดนี้น่าจะเป็นเครื่องดื่มที่หาได้เฉพาะในบ้านเราเท่านั้น อย่าเผลอไปสั่งที่อื่นเชียว เพราะคาปูชิโน่จะเสิร์ฟแบบร้อนเท่านั้น

Mochaccino

เป็นการเพิ่มไซรัปช็อคโกแลตลงในคาปูชิโน่ของเรา จากนั้นทำการโรยหน้าด้วยผงช็อกโกแลต เท่านี้เราก็จะได้มอคค่าชิโน่แสนอร่อย

Caffé Latte

Caffé Latte หรือบางคนอาจเรียกว่าลาเต้ เป็นเครื่องดื่มที่ใส่นมมากกว่าคาปูชิโน่ (โดยปกติแล้ว Latte มีความหมายว่านม) เราจะใช้เอสเพรสโซ 1 ช็อต ผสมกับนมในปริมาณที่มากกว่า 3 หรือ 4 เท่า สุดท้ายทำการโปะด้วยฟองนม

Piccolo Latte

Piccolo Latte ก็คือ ลาเต้ที่มีขนาดเล็กมาก ๆ อาจจะมีการใส่ฟองนมเล็กน้อย โดยปกติมักจะเสิร์ฟแบบ ristretto ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเอสโซ่ช็อตเสียอีก ดังนั้นมักจะเสิร์ฟในแก้วขนาดเล็กแทนที่จะเป็นแก้วกาแฟขนาดปกติ

Flat White

เครื่องดื่ม Flat White เป็นเครื่องดื่มที่เราไม่ค่อยจะได้ยินกันมากนัก สัดส่วนของเอสเพรสโซกับนมนั้นเกือบเท่ากับคาปูชิโน่ แต่ความแตกต่างอยู่ที่เนื้อสัมผัส ในขณะที่คาปูชิโน่จะมีความนุ่มของนมและฟองนม Flat White จะมีความนุ่มกว่านั้น โดยตัวฟองนมหรือโฟมนมจะมีความนุ่มกว่า เรียกว่า Microfoam

Affogato

เป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างกาแฟกับของหวาน อัฟโฟกาโต้ก็คือไอศครีมรสวนิลา แล้วทำการราดด้วยเอสเพรสโซ 1 ช็อต

Affogato

เครื่องดื่มกาแฟแบบอื่น ๆ

คล้ายกับเครื่องดื่มที่มีเอสเพรสโซเป็นฐาน กาแฟดำยังถูกนำมาดัดแปลงและใช้ในเครื่องดื่มยอดนิยมมากมาย ทั้งนี้อาจมีการใส่ครีมนมหรือการใส่ส่วนผสมอื่น ๆ เพิ่มเติมลงไปด้วย

Café au Lait

เครื่องดื่มชนิดนี้จะมีความคล้ายกับลาเต้เป็นอย่างมาก สูตรของกาแฟชนิดนี้จะไม่ตายตัว โดยปกติลาเต้จะใช้เอสเพรสโซเป็นฐาน แต่เครื่องดื่มชนิดนี้จะใช้กาแฟดำที่มีความเข้มข้นกว่าเอสเพรสโซ อัตราส่วนนมและกาแฟ ส่วนมากจะนิยมใส่เท่า ๆ กัน แต่ สามารถที่จะปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ

Café Viennoise

เรียกอีกชื่อว่า café Vienne หรือ กาแฟเวียนนา คือการนำเอสเพรสโซ 1 ช็อตหรือ 2 ช็อต มาราดด้วยวิปครีม หรือบางครั้งอาจจะใช้ครีมธรรมดา ค่อย ๆ เทอย่างระมัดระวัง เพื่อให้เนื้อครีมรออยู่ด้านบนกาแฟสวยงาม

Irish Coffee

สิ่งนี้ดูจะเหมือนค็อกเทลมากกว่ากาแฟ โดยการใส่วิสกี้ 1 ช็อตเพิ่มเข้าไปในกาแฟร้อน จากนั้นอาจเติมน้ำตาลให้หวานขึ้นเล็กน้อย แล้วราดเครื่องดื่มด้วยวิปครีมอีกที ซึ่งจำเป็นต้องราดด้วยครีมอย่างระมัดระวังให้ลอยอยู่ด้านบน แต่วิธีการดื่มคือ อย่าไปคน แค่เราต้องดื่มกาแฟร้อน ๆ ที่ผสมเหล้าแล้วยังคงให้วิปครีมอยู่ด้านบน

กาแฟเย็นสูตรอื่น ๆ

ยังมีกาแฟเย็นอีกหลายต่อหลายสูตรที่น่าลิ้มลอง ส่วนใหญ่จะเป็นกาแฟขึ้นชื่อของแต่ละชาติ อย่างกาแฟโบราณของบ้านเราที่ก็มีหลายสูตร หรือที่ได้รับความนิยมพอสมควรคือกาแฟเวียดนาม โดยกาแฟเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีพื้นฐานโดยใช้กาแฟ นม วิปครีม ไซรัปเพื่อปรุงแต่งรสและกลิ่น อาจมีการใช้นมข้นด้วยในหลายสูตร

Thai ice coffee

ลิ้มลองกาแฟรูปแบบใหม่ ๆ ให้มากเข้าไว้

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเครื่องดื่มกาแฟเล็กน้อยที่เรามาแนะนำกัน แท้จริงแล้วโลกแห่งกาแฟกว้างใหญ่กว่านี้มาก เราสามารถที่จะทดลองดื่มกาแฟในร้านกาแฟ ที่รับรองว่าหลากหลายไม่ซ้ำแน่นอน ดื่มนานแค่ไหนก็ไม่หมด มีกาแฟใหม่ ๆ ออกมาให้เราดื่มเรื่อย ๆ

ไม่ว่าจะเป็นกาแฟธรรมดา หรือกาแฟเกรดพิเศษต่าง ๆ การที่เราจะเรียนรู้เครื่องดื่มอย่างกาแฟให้ลึกซึ้งขึ้น วิธีการเดียวคือการที่เราลองชิมกาแฟให้มากเข้าไว้ แล้วเมื่อเรามีประสบการณ์มากพอ เราจะสามารถที่จะดื่มด่ำกับรสชาติที่แสนอร่อยและลึกล้ำของกาแฟได้อย่างมีความสุข