Typica นับว่าเป็นหนึ่งพันธุ์ กาแฟ ที่โดดเด่นที่สุดในโลก กาแฟพันธุ์นี้สามารถสืบย้อนไปได้ถึงต้นกำเนิดของอาราบิก้า ในประเทศเอธิโอเปียเลยทีเดียว และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะทำความเข้าใจกับกาแฟที่เราดื่มกันในปัจจุบัน
เนื่องจากเป็นพันธุ์ที่ค่อนข้างเปราะบาง มีความไวต่อแมลง ศัตรูพืช และโรคระบาด ทำให้ Typica กลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมน้อยลง ทั้ง ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยโปรไฟล์รสชาติที่มีคุณภาพสูง อีกทั้งยังสามารถให้ราคาที่ค่อนข้างดีได้อีก
และต่อไปนี้ เราจะมาทำความรู้จัก Typica ให้มากขึ้น ว่าด้วยเรื่องคุณลักษณะ และประวัติความเป็นมาของกาแฟพันธุ์นี้

Typica คืออะไร
Typica คือกาแฟอาราบิก้าที่สำคัญพันธุ์หนึ่ง ความสำคัญแรกคือ Typica มีความหลากหลายในตัวเองสูง ตั้งแต่ Blue Mountain ในจาไมก้า ไปจนถึง Arábigo ในอเมริกากลาง เราจะสามารถพบเห็นกาแฟพันธุ์ Typica ได้ทั่วทุกมุมโลก ความสำคัญอย่างต่อมาคือ Typica ยังเปรียบเสมือนต้นกำเนิดของพันธุ์ที่ได้รับความนิยมอื่น ๆ มากมาย เช่น Mundo Novo และ Pacamara
Typica ยังเป็นกาแฟพันธุ์ที่มีชื่อเรียกมากมายหลากหลาย เช่น Jamaica Blue Mountain, Criollo (Creole), Indio (Indian), Arábigo (Arabica), Plume Hidalgo และ Sumatra
ลักษณะสำคัญที่โดดเด่นของต้นกาแฟ Typica คือ ลำต้นจะมีความสูง โดยสูงอยู่ที่ประมาณ 5 เมตร (หรือ 16.5 ฟุต) มีลำต้นบาง และยังมีกิ่งก้านที่ค่อนข้างบางเนื่องจากความสูง มีระยะของกิ่งและกิ่งย่อยค่อนข้างห่างกัน ลักษณะใบจะมีใบขนาดใหญ่ ปลายใบจะเป็นสีบรอนซ์ ผลเชอร์รี่กาแฟค่อนข้างยาว
โดยปกติแล้ว กาแฟที่ได้มาจากผลเชอรี่ Typica นั้นจะมีความหวานและมีความคลีนอันเป็นเอกลักษณ์ มีลักษณะเด่นของดอกไม้ ผลไม้ และรสชาติที่ซับซ้อนอื่น ๆ ด้วย มีศักยภาพความเป็นกาแฟสูงมาก
และถึงแม้ว่าจะเป็นกาแฟคุณภาพสูง แต่ก็ยังมีจุดอ่อน ซึ่งจุดอ่อนของ Typica คือ เป็นพืชที่มีความอ่อนไหวต่อแมลง ศัตรูพืช และโรคต่าง ๆ มาก รวมทั้งยังให้ผลผลิตที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งนี่เองเป็นปัญหาสำหรับเกษตรกร ที่จำเป็นต้องลดความเสี่ยงในกระบวนการผลิต จึงมักจะเลือกพันธุ์อื่นที่สามารถปลูกได้มาปลูกแทน
ประวัติของ Typica
Typica เป็นกาแฟที่เราพบได้ในพื้นที่ปลูกกาแฟสำคัญของโลก และยังมีประวัติศาสตร์อันยาวนานอีกด้วย
หากจะเล่าเรื่องของ Typica ก็จำเป็นจะต้องสืบย้อนไปนาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเอธิโอเปีย เช่นเดียวกับกาแฟอาราบิก้าอื่น ๆ มากมาย อาราบิก้าถูกนำไปยังเยเมนในช่วงศตวรรษที่ 15-16 และต่อไปก็เดินทางไปยังอินเดียในปี 1700 เมล็ดพันธุ์ที่ถูกส่งไปยังชายฝั่งของ Malabar ในอินเดีย และเกาะชวาในอินโดนีเซีย เมล็ดพันธุ์นี้เองคือเมล็ดพันธุ์ของ Typica
Bourbon ก็เช่นเดียวกัน กาแฟพันธุ์นี้เดินทางมาพร้อมกับ Typica ไปจนถึงเยเมน แต่กลับไม่ได้ถูกส่งไปทางตะวันออก เมล็ดพันธุ์ของ Bourbon นี้กลับถูกส่งไปยังเกาะ Bourbon (ซึ่งปัจจุบันคือ La Réunion) นอกชายฝั่งมาดากัสการ์ และก็เช่นเดียวกับ Typica พันธุ์ Bourbon ก็เป็นกาแฟพันธุ์หนึ่งที่เรียกว่าเป็นต้นตระกูลของกาแฟมากมายหลากหลายพันธุ์ และได้เติบโตไปตามที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่น Mundo Novo ซึ่งเป็นการผสมข้ามสายพันธุ์ตามธรรมชาติของ Typica และ Bourbon อีกตัวอย่างคือ Caturra ซึ่งเป็นการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติของ Bourbon

ในปี 1706 มีการนำต้นของ Typica เดินทางจากเกาะชวา ไปยังอัมสเตอร์ดัมในเนเธอร์แลนด์ จากนั้นก็มีการแบ่งกัน และได้แพร่กระจายไปยังฝรั่งเศสในปี 1722 ทั้งฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์จึงได้นำ Typica ไปยังประเทศอาณานิคมในอเมริกาใต้ Dutch Guiana (ซึ่งในปัจจุบันคือประเทศ Suriname) และจากนั้นก็นำไปยัง Cayenne (ซึ่งในปัจจุบันคือประเทศ Guiana) และในปี 1727 Typica ก็ได้เดินทางมาถึงทางเหนือของบราซิล
หลังจากผ่านเวลามาเรื่อย ๆ Typica ก็ได้เดินทางต่อไปยังตอนใต้ของบราซิล ในช่วงระหว่างปี 1760-1770 ในอีก 2-3 ศตวรรษข้างหน้า มีการค้นพบการกลายพันธุ์ที่แตกต่างกันออกไปอีกของ Typica ซึ่งก็คือพันธุ์ Maragogipe เป็นการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติของ Typica ซึ่งในที่สุดก็มีการพัฒนาสายพันธุ์เป็น Pacamara พันธุ์กาแฟที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ในทางกลับกัน กาแฟพันธุ์ Mundo Novo ยังคงถูกค้นพบ และได้รับพัฒนาต่อในบราซิล
ในช่วงปลายทศวรรษ 1800 กาแฟ Typica นั้นก็สามารถที่จะพบเห็นได้ทั่วอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ลามไปยังทั่วแคริบเบียน ทั้งในจาไมก้า คิวบา และ เปอร์โตริโก จนกระทั่งในปี 1940 ไร่กาแฟส่วนใหญ่ในอเมริกากลางได้ปลูก Typica ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เราจะเห็นได้ว่าตลอดช่วงประวัติศาสตร์ของ Typica กาแฟพันธุ์นี้ได้เดินทางสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเริ่มต้นจากแอฟริกา ย้ายไปยังเอเชีย แล้วไปจบที่อเมริกาเหนือ ด้วยเหตุนี้เอง Typica จึงเป็นกาแฟพันธุ์ที่ได้รับความนิยมปลูกในหลากหลายสถานที่ และได้มีการผสมข้ามสายพันธุ์ และกลายพันธุ์มา ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ในปัจจุบัน เรายังสามารถหา Typica ได้อยู่หรือไม่
ในปัจจุบันนั้น Typica ไม่ใช่กาแฟพันธุ์ที่เติบโตได้ตามปกติ เนื่องจากจุดอ่อนที่มีความอ่อนไหวต่อแมลง ศัตรูพืช และโรคภัยต่าง ๆ มากมาย มีการค้นคว้าศึกษา และมีการวิจัยเกี่ยวกับพันธุ์กาแฟในเชิงลึกมากขึ้น มีการค้นพบพันธุ์กาแฟใหม่ ๆ และพัฒนาพันธุ์ที่มีคุณสมบัติ ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับผู้ผลิตอื่น ๆ มากมาย
แต่อย่างไรก็ตาม Typica ยังสามารถพบได้ในหลายประเทศที่ผลิตกาแฟ ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่ใช้ในการปลูก และวิธีการพัฒนาพันธุ์จะเป็นอย่างไร ดังนั้น Typica ของแต่ละที่ก็จะมีคุณลักษณะเฉพาะของสถานที่นั้น ๆ ด้วย
ยกตัวอย่างเช่น Blue Mountain Coffee ซึ่งถูกผลิตขึ้นในจาไมก้า เป็นกาแฟ Typica ที่มีชื่อเสียง ถูกปลูกในความสูง 1800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มักจะใช้การโพรเซสแบบ Washed Process และยังทำการขนส่งโดยใช้ถังไม้ ชื่อของ Blue Mountain นี้เป็นชื่อที่ได้รับการจดทะเบียนใหม่ ซึ่งการจะสามารถจดทะเบียนชื่อใหม่นี้ได้ กาแฟจะต้องเข้ากับเงื่อนไขมากมายตามระเบียบข้อบังคับเฉพาะ เช่น สถานที่ที่ใช้ในการปลูกต้องผ่าน กรรมวิธีที่ใช้ในการโพรเซสต้องได้ การขนส่งกาแฟต้องถูกต้อง ซึ่งเหล่านี้จะทำให้กาแฟได้คุณภาพสูง และต้องมีคะแนนการ couping สูงด้วย โปรไฟล์รสชาติจะต้องมีความหวาน และสัมผัสนุ่มละมุน Blue Mountain Coffee ที่เป็น Typica ที่ได้รับมาตรฐาน สามารถจดทะเบียนได้ ก็สามารถที่จะการันตีโปรไฟล์รสชาติได้ แต่ก็ต้องแลกมากับราคาที่ค่อนข้างสูงด้วย
อย่างในประเทศเปรู ที่ครั้งหนึ่งเคยเลิกปลูกกาแฟ Typica เนื่องจากพืชมีความอ่อนไหวต่อโรคสนิม และหันมาใช้กาแฟพันธุ์อื่นที่มีความทนทานมากกว่า แต่ในปัจจุบัน ก็เริ่มมีการนำกาแฟพันธุ์นี้กลับมาปลูกใหม่อย่างช้า ๆ นอกจาก Typica ที่เลือกกลับมาปลูกแล้ว ยังมีพันอย่าง Bourbon และ Caturra ด้วย
การปลูกและการเจริญเติบโตของ Typica

ถึงแม้ว่า กาแฟ Typica จะเป็นกาแฟพันธุ์ที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อโรคร้าย แมลง และศัตรูพืช แต่หากสามารถปลูกได้ ก็มั่นใจได้เลยว่า จะได้กาแฟคุณภาพสูงอย่างมาก และราคาก็จะสูงตามมาด้วย
ในบรรดาไร่กาแฟต่าง ๆ จะรู้ได้อย่างไรว่า กาแฟ Typica เหมาะสมจะปลูกในไร่ของตน ประการแรกเลยคือ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะต้องรู้ เรื่องของทรัพยากร และงบประมาณที่จะใช้ในการปลูก
โดยทั่วไปแล้ว กาแฟพันธุ์ Typica จำเป็นจะต้องปลูกในพื้นที่สูง World Coffee Research ได้มีการแนะนำถึงระดับความสูงที่เหมาะสมที่จะให้กาแฟ Typica ได้ หากปลูกในพื้นที่ละติจูดที่ 5 องศาเหนือหรือใต้ของเส้นศูนย์สูตร แนะนำให้ปลูกที่ความสูง 1,600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล หากปลูกในบริเวณละติจูดที่ 5-15 องศาเหนือหรือใต้ของเส้นศูนย์สูตร ให้ปลูกที่ความสูง 1,300 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และสุดท้ายหาก ปลูกในละติจูดที่ 14 องศาเหนือหรือใต้ของเส้นศูนย์สูตร แนะนำให้ปลูกอยู่ที่ระดับสูงกว่า 1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
โดยธรรมชาตินั้น ต้นกาแฟ Typica มีความสูงกว่าต้นกาแฟพันธุ์อื่น ๆ โดยจะมีกิ่งก้านยาวที่แยกออกจากกัน ต้นกาแฟนี้มีความสูงและขนาดค่อนข้างใหญ่ ดังนั้นจึงต้องใช้ที่พื้นที่ปลูกค่อนข้างมาก เนื่องจากความสูงและพื้นที่ที่ต้องใช้ค้อนข้างมากนี่เอง จึงจำเป็นที่จะต้องใช้แรงงานและเวลามากขึ้นด้วย
เรื่องของความอ่อนไหวต่อแมลงศัตรูพืชและโรคภัยต่าง ๆ ก็เป็นสิ่งที่น่ากังวลเกี่ยวกับกาแฟพันธุ์นี้ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีทุน หรือมีงบประมาณในการบำบัดและการใช้ปุ๋ยด้วย มีเมืองเล็ก ๆ หลายเมืองที่พยายามจะปลูกกาแฟ Typica แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากกาแฟพันธุ์นี้ต้องได้รับการดูแลสูง และใช้ทุนในการปลูกค่อนข้างมาก
กาแฟพันธุ์ Typica นั้นจะให้ผลผลิตค่อนข้างต่ำ ผลผลิตของเชอร์รี่กาแฟนั้นจะน้อยกว่าบูร์บงอยู่ที่ 20-30 เปอร์เซ็นต์ การที่ผลผลิตต่ำกว่านี้ ส่งผลให้ขายกาแฟได้น้อยลง และอาจจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นหากเกิดปัญหาใด ๆ ก็ตามที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิต เช่น ในเรื่องของสภาพภูมิอากาศ โรคสนิมที่เกิดในกาแฟ และโรคร้ายอื่น ๆ ด้วย
แต่อย่างที่บอกไปว่า แม้จะมีความเสี่ยงสูง แต่ผลผลิตที่ได้ก็คุ้มค่าอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้ผลิตที่สามารถทำเกี่ยวกับเรื่องการตลาดได้ดี และสามารถที่จะเข้าถึงตลาดเฉพาะทางได้ ตัวอย่างเช่นกาแฟ Typica ของ Blue Jamaica ที่สามารถทำราคาได้สูงมาก
เรื่องราวของกาแฟ Typica มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน และเป็นพื้นฐานที่ดีในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับพันธุ์กาแฟอื่น ๆ มากมายที่เราดื่มกันอยู่ในปัจจุบัน

หากปราศจากกาแฟพันธุ์นี้ เราก็คงไม่มีกาแฟพันธุ์อื่น ๆ ที่เราหลงรักไว้ดื่มกันอย่าง Pacamara หรือ Mundo Novo นอกจากนี้ Typica ยังเป็นกาแฟที่อร่อย และมีความหลากหลายในตัวเองสูง ซึ่งเราสามารถหาดื่มได้จากทั่วทุกมุมโลก แม้ว่าระบบการจัดการจะค่อนข้างยาก ส่งผลให้ราคาสูงขึ้นด้วยก็ตาม แต่ราคาที่สูงนี้ เราจะได้กาแฟที่มีความคุ้มค่าแน่นอน ไม่ใช่แค่กับเราในฐานะผู้บริโภคแต่กับเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟทั่วโลกด้วย